Monday, April 16, 2007

tag แฉความลับ (ข้อ 4-5)

หลังจากที่ผมได้แฉความลับตัวเองไป 3 ข้อแล้วใน tag แฉความลับ (ข้อ 1-3) วันนี้ขอเขียนต่ออีก 2 ข้อที่เหลือนะครับ

ข้อสี่ ข้อนี้ผมขอตั้งชื่อว่าเรื่อง "ซ้ายๆขวาๆ" ของผม

อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าผมจะพูดถึงเรื่อง ฝ่ายซ้าย ฝ่ายขวา ปรัชญาเศรษฐกิจหรือการเมืองนะครับ

เรื่องที่ผมจะพูดมันไร้สาระกว่านั้นมากๆ ฮ่าๆ...

ผมเป็นคนถนัดขวาโดยกำเนิด ใช้มือขวาเขียนหนังสือ ใช้มือขวาเล่นเทนนิส ปิงปอง ฯลฯ

ตอนประถม สมัยผมเริ่มเล่นฟุตบอลครั้งแรก ผมก็ใช้เท้าขวาเล่นบอล

แต่จำได้ว่าตอน ป.4 ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร แต่อยู่ดีๆ ผมก็เกิดอาการอยากใช้เท้าซ้ายเตะบอลบ้าง

อาจเป็นเพราะเพื่อนผมส่วนใหญ่ถนัดเท้าขวา ผมเลยอยาก "แนว" ด้วยการเป็นนักเตะถนัดซ้าย

ผมเลยลองฝึกเตะบอลด้วยเท้าซ้ายดู

เชื่อหรือไม่ ผมกลายเป็นนักฟุตบอลถนัดซ้ายไปในเวลาไม่ถึงปี

แต่จะว่าไป ผมก็ใช้เท้าซ้ายได้ไม่ดีเท่ากับคนที่ถนัดซ้ายโดยธรรมชาติ

เพราะแม้ผมจะใช้เท้าซ้ายได้ดีกว่าเท้าขวาในการจับบอล จ่ายบอล โยนบอล และยิงบอล แต่ผมไม่สามารถใช้เท้าซ้ายเลี้ยงบอลให้ดีได้

เท้าขวาของผมยังคงใช้การได้ดีกว่าเท้าซ้ายเมื่อพูดถึงการคอนโทรลบอลและเลี้ยงบอล

กลายเป็นว่า ทุกวันนี้เวลาผมเล่นบอล พอได้รับบอล ผมจะเลี้ยงด้วยขวา แล้วล็อกเข้าซ้ายหาจังหวะส่งหรือยิงประตู

แบบนี้ผมพบว่าก็ดีไปอีกแบบ เพราะผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามจะจับทางยากขึ้น เหมือนแบบ "ทำไมไอ้นี่มันเลี้ยงด้วยขวา แล้วไปๆมาๆมันยิงหรือส่งด้วยซ้ายฟะ"

อืม.. ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้แอบไร้สาระ เอาเป็นว่าผมขอสรุปว่าบทเรียนของเรื่องนี้ก็คือ ถึงเราถนัดขวาโดยธรรมชาติ เราก็สามารถฝึกใช้เท้าซ้ายที่ไม่ถนัดให้ดีได้ เพราะฉนั้น ทุกอย่างเป็นไปได้หากเราตั้งใจฝึกฝนนะครับ

.........

อีกเรื่องเกี่ยวกับ "ซ้ายๆขวาๆ" ของผมนั้น เกี่ยวข้องกับอวัยวะส่วนหนึ่งบนใบหน้าครับ

เป็นเรื่องเกี่ยวกับ "หู" ของผมเอง

หูผมไม่ได้มีอาการผิดปกติอะไร มันใช้รับฟังสิ่งต่างๆ ได้ดีเหมือนคนทั่วไป

หูผมไม่ได้กาง ไม่ได้ยาน เป็นพิเศษอะไร และไม่ได้แนบชิดติดข้างใบหน้าเป็นพิเศษแต่อย่างใด

แต่เรื่องของเรื่องคือ หูซ้ายกับหูขวาของผมมันมีขนาดไม่เท่ากันครับ!

ผมเพิ่งจะสังเกตเห็นถึงความไม่เท่ากันนี้เมื่อไม่กี่ปีนี้เอง

คือหูซ้ายของผมมันใหญ่และกางออกมากกว่าหูขวาอย่างค่อนข้างชัดเจน (ถ้าสังเกตดู)

แปลกดีไหมครับ มือ เท้า ตา ขา และแขนของผมมันก็เท่ากันทั้งสองข้าง แล้วทำไมหูมันถึงได้ไม่เท่ากันได้ละเนี่ย...???

ข้อห้า มาถึงข้อสุดท้ายเลยดีกว่า ข้อนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความใฝ่ฝันของผม


ตอนเด็กๆ หรือแม้กระทั่งตอนโต พวกเราทุกคนต่างก็มีความใฝ่ฝัน อยากทำนู่นเป็นนี่ ผมเองก็มีความฝันเช่นกัน

ความฝันหนึ่งของผมคือการเป็นนักฟุตบอลอาชีพค้าแข้งในอังกฤษ

ผมเริ่มเล่นบอลอย่างจริงจังมาตั้งแต่ ป.4 เล่นบอลกีฬาสีสมัยประถม ตอนเรียนมัธยมที่สิงคโปร์ก็เล่นบอลให้หอพัก เรียนที่ธรรมศาสตร์ก็เล่นให้บีอี

ตอนไปแลกเปลี่ยนที่ UC Davis ก็ไปเล่นที่นั่น (จำได้ว่ามีวันนึงที่ Davis มีเด็กจีนเตะบอลกันสิบกว่าคน ผมก็ไป "เนียน" เล่นด้วย ทั้งๆที่พวกเขาพูดภาษาจีนกันหมด เวลามันพูดกับผมผมก็พยักหน้าเออออไปเรื่อยทั้งที่ไม่เข้าใจที่มันพูดสักอย่าง แต่ก็ใช้ภาษาฟุตบอลสื่อสารกันพอได้ ฮ่าๆ)

ตอนนี้ทำงานที่แบงก์ชาติก็เล่นบอลอาทิตย์ละครั้งตอนเย็น (ที่แบงก์มีคนเตะบอลกันทุกวันตอนเย็นครับ) แล้วก็ทุกวันอาทิตย์ก็นัดเตะบอลกับเพื่อนๆที่บีอี

การเล่นฟุตบอลจึงเป็นกิจกรรมที่ผมรักมากถึงมากที่สุด เวลามีความสุข ผมก็อยากเล่นบอล เวลาเครียดๆหรือเสียใจอะไร ผมก็อยากเล่นบอล มันทำให้ผมลืมความเครียดหรือความเศร้าได้ดีมากๆ

แล้วเวลาอยากเล่น แต่มีอะไรบางอย่างทำให้ไม่ได้เล่น (เช่น ฝนตก หรือหาเพื่อนเล่นไม่ได้) ผมจะหงุดหงิดเอามากๆ

ด้วยเหตุนี้ ผมถึงอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพเล่นให้กับสโมสรที่ผมรักคือ ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ อยากเล่นให้ทีมชาติไทย พอเลิกเล่นก็เป็นโค้ชต่อ แล้วก็รับจ็อบเป็นผู้บรรยายฟุตบอลด้วย และถ้าให้ดีอยากเป็นโค้ชทีมชาติไทยที่สามารถพาทีมไปบอลโลกได้สำเร็จ

ผมแอบเชื่อลึกๆในใจว่า ถ้าผมมีโอกาสได้ฝึกหัดฟุตบอลกับสโมสรที่อังกฤษตั้งแต่ตอนเป็นเยาวชน ผมจะสามารถทำฝันนี้ให้เป็นจริงได้

แต่ชีวิตจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นน่ะสิครับ หุหุ

อีกความฝันนึงของผม ต้องย้อนไปตอนสมัยเรียน ม.ต้น ครับ

ตอนนั้น ผมชอบเรียนวิทยาศาสตร์มาก ผมเลยฝันอยากเป็นครูมัธยมสอนวิทยาศาสตร์ จำได้ว่าผมจินตนาการอยากเป็นครูที่มีรูปแบบเทคนิคการสอนที่แปลกๆ สนุกๆ ไม่น่าเบื่อ อยากพาเด็กไปเรียนนอกห้องเรียน และอยากเป็นครูที่นักเรียนอยากเรียนด้วย

แต่พอโตขึ้น ความฝันนี้ก็เลือนหายไป แต่ก็ไม่ได้หายไปสักทีเดียว


เพราะผมยังชอบสอนและอยากสอนหนังสืออยู่ไม่เปลี่ยน

ย้อนไปตอนปีหนึ่งสมัยเรียนที่ธรรมศาสตร์ วิชาแรกที่ผมเรียนและชอบมากคือ Microeconomics

ตอนนั้นผมและเพื่อนๆ จะนัดกันติวอยู่บ่อยๆ โดยเพื่อนๆจะขอให้ผมช่วยเป็นติวเตอร์ให้ ซึ่งผมก็รับเป็นติวเตอร์ด้วยความยินดียิ่ง

เรามักจะนัดติวกันไปเปิดห้องติวกันที่ชั้น U3 ของหอสมุดปรีดี ห้องมันก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรแต่เราก็อัดๆกันเข้าไปกันได้ นั่งเบียดๆกันได้เป็นสิบๆคน (บรรยากาศอบอุ่นมาก)

ผมต้องคอยซื้อปากกาไวท์บอร์ดติดไว้ (ต้องมีอย่างน้อยสองสี เพราะการสอนเสดสาดต้องมีกราฟเยอะ ถ้าใช้ปากกาสีเดียวจะงงเอาได้ง่ายๆ) ส่วนเพื่อนๆก็จะเตรียมทิชชูไว้สำหรับลบกระดานในกรณีที่ไม่มีแปรงลบ

การที่ผมเป็นติวเตอร์ ไม่ได้แปลว่าผมต้องรู้มากและเก่งกว่าเพื่อนๆในเนื้อหาวิชาหรอกนะครับ มีบ่อยครั้งไปที่ผมเจอเนื้อหาที่ไม่เข้าใจหรือเจอคำถามที่ตอบไม่ได้ และต้องอาศัยเพื่อนๆคนอื่นช่วยอธิบาย

สิ่งสำคัญของการเป็นติวเตอร์คือการสังเคราะห์เนื้อหาที่เรียนให้ดี แล้วถ่ายทอดออกมาให้เข้าใจง่ายและน่าสนใจ ทำให้คนเรียนรู้สึกสนใจและมีทัศนคติที่ดีในเรื่องที่เรียน ให้เขามีพื้นฐานที่ดีเพื่อไปต่อยอดได้ด้วยตัวเองต่อไป...


หลังจากติววิชา Micro ผมก็เปิดติววิชาอื่นมาเรื่อยๆ ทั้งที่มหาลัยและนัดไปติวกันที่บ้านเพื่อน

ผมเคยติววิชาแคลคูลัสให้น้องๆที่จะสอบเข้าบีอี รู้สึกดีใจและตื้นตันใจมากๆตอนที่ติวจบแล้วมีน้องเดินเข้ามาบอกว่า "พี่ๆ ขอบคุณมากเลย ผมไม่เคยเข้าใจว่าแคลคูลัสคืออะไร ไม่เข้าใจว่า diff คืออะไร เพิ่งจะเข้าใจก็วันนี้แหละพี่"

แต่ถ้าถามว่าน้องคนนั้นสอบได้หรือเปล่า อันนี้ผมไม่รู้จริงๆ (ฮา)

นอกจากนี้ ผมก็เคยสอนภาษาอังกฤษให้น้อง ม.ต้น และ ม.ปลาย ทั้งแบบตัวต่อตัวและแบบหลายๆคน ซึ่งผมก็มีความสุขจากการสอนอย่างมาก

แต่การติวที่ผมประทับใจที่สุด ต้องยกให้การติววิชา EE460 Thai Economy ซึ่ง อ.นิพนธ์ พัวพงศกร คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ในปัจจุบันเป็นอาจารย์ผู้สอนครับ

วิชานี้ ขึ้นชื่อลือชาว่าหิน ยิ่งเมื่อได้อาจารย์คุณภาพคับแก้วอย่าง อ.นิพนธ์ เป็นคนสอนด้วยแล้ว ความหินยิ่งเพิ่มขึ้นแบบ exponential

เป็นวิชาที่มีเพื่อนๆ request ขอให้เปิดติวมากที่สุดเป็นประวัติการณ์เลยครับ

ตอนก่อนสอบ mid-term ผมก็เปิดติวใหญ่หนึ่งครั้ง ซึ่งตอนนั้นจำได้ว่าไม่สามารถหาจองห้องเพื่อติวได้ สุดท้ายเลยลงเอยด้วยการติวที่ "คอมม่อน" (บริเวณใต้คณะเศรษฐศาสตร์)

เพื่อนผมไปลากกระดานไวท์บอร์ดมาจากห้องกิจกรรมนักศึกษามาตั้งไว้ด้านหลังคอมม่อน (หลังกระดานเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา) แล้วก็จัดแจงเคลื่อนย้ายโต๊ะและม้านั่งให้เหมาะสมแก่การนั่งฟังการติว

ส่วนผมก็กะว่าจะจับปากกาไวท์บอร์ดแล้วติวปากเปล่าแบบ open air อยู่ตรงนั้น

แต่ปรากฏว่าเพื่อนๆ มาฟังกันเกินคาดครับ มากัน 30-40 คน และด้วยความที่บริเวณนั้นเป็น open air ทำให้หลายคนไม่ได้ยินในสิ่งที่ผมพูด

เพื่อนผมเลยอุตส่าห์ไปหาโทรโข่งมาให้...

ผมก็ยืนติวตรงนั้น มือซ้ายถือโทรโข่ง (โทรโข่งนะครับ ไม่ใช่เบาๆเหมือนไมโครโฟน) มือขวาจับปากกาเขียนไวท์บอร์ด ปากก็พูดๆไป... เป็นเวลาเกือบสี่ชั่วโมง...

ระหว่างติวก็ต้องมีการพักบ้าง เพื่อนๆก็ซื้อน้ำซื้อขนมมาเสิร์ฟอยู่เรื่อย... บางทีคุณป้าร้านขนมก็จะเอาขนมเอาน้ำมาให้แบบจะไม่ยอมคิดตังค์ แล้วก็มักจะถามผมบ่อยๆว่า "เอก... เอกจบแล้วจะมาเป็นอาจารย์รึเปล่า ป้าว่าเอกเหมาะมากเลยนะ"

วันนั้นพอติวเสร็จ ผมแทบจะล้มนอนตรงนั้นเลยครับ เป็นการติวที่เหนื่อยที่สุด เมื่อยที่สุด (ทั้งแขนและขา) แต่ก็ประทับใจและอิ่มเอมใจที่สุดเช่นกัน...

พอตอนใกล้สอบ final ผมก็เปิดติวอีกครั้ง คราวนี้กะว่าจะติวกันกลุ่มเล็กๆ เลยนัดแนะกันว่าจะไปติวกัน 6-7 คนที่บ้านเพื่อนสนิทคนนึงแถวรามอินทรา

แต่ก่อนถึงวันนัดหนึ่งวัน ปรากฏว่าเพื่อนๆคนอื่นมากมายเริ่มรู้ว่าจะมีการเปิดติว ข่าวแพร่สะพัดอย่างรวดเร็วดังตลาดเสรีที่มี perfect information...

ถึงวันนัดติวจริงๆ ปรากฏว่ามีเพื่อนๆ มาที่บ้านเพื่อนผมที่รามอินทรากว่า 40 คน!

ดีที่บ้านเพื่อนคนนี้มันกว้างขวาง สามารถรองรับคนจำนวนนี้ได้ แม้บางคนจะต้องแชร์เก้าอี้กัน บางคนจะต้องนั่งพื้น แต่ก็พอนั่งกันได้

วันนั้นติวกันตั้งแต่ประมาณ 9 โมงกว่า พอตอนเที่ยงก็พักกินข้าวกัน ซึ่งคุณแม่ของเพื่อนผมก็สั่งอาหารตามสั่งร้านแถวบ้านใส่กล่องโฟมมาเลี้ยงทุกคน

มีทั้งข้าวกระเพรา ข้าวหมูทอด ข้าวผัด ฯลฯ พวกเรานั่งกินข้าวกล่องกันเป็นวง เป็นกลุ่มก้อน บรรยากาศดูอบอุ่นน่ารัก เหมือนมาออกค่ายอยู่กลายๆ

พอตอนบ่ายก็ติวต่อจนเย็น จึงแยกย้ายกลับบ้าน...

เป็นอีกวันที่เหนื่อยมากๆ แต่ก็ดีใจมากเช่นกัน

มันเหมือนเป็นความอิ่มเอิบใจที่ได้ทบทวนความรู้ให้กับเพื่อนๆ และก็อย่างที่บอกว่าผมไม่ได้รู้มากไปกว่าคนอื่น มันเหมือนพวกเรามาช่วยกันเรียน มา discuss กัน โดยที่ผมเป็นเหมือนคนปูพื้นฐานและคนนำอภิปรายแค่นั้นเอง

บางเรื่องที่ผมติวก็มีคนแย้งว่ามันผิดนะ เค้าเข้าใจอีกแบบหนึ่ง แล้วเราก็ถกกัน บางเรื่องที่ผมไม่แน่ใจไม่เข้าใจ ก็จะมีเพื่อนคนอื่นช่วยอธิบายแทน ผมก็ได้เรียนรู้จากเขาไปด้วย

ส่วนใครที่รู้น้อย อ่านหนังสือมาน้อย ก็จะได้ความรู้พื้นฐานของเนื้อหาวิชาไป แล้วก็ไปอ่านต่อยอดเองได้

ทั้งหมดนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่าการเป็นครูเป็นอาจารย์นั้น เป็นงานที่ช่วยสร้างคุณค่าให้แก่คนอื่นอย่างเห็นได้ชัด (แม้ความจริงจะปรากฏว่า ในวิชา EE460 ที่ผมติวนั้น มีคนได้ A อยู่ 3-4 คน ซึ่งทุกคนที่ได้ A นั้น เป็นคนกลุ่มน้อยที่ไม่ได้มาติวกับผมก่อนสอบ final ส่วนคนที่มาติวกับผมนั้นไม่มีใครได้ A เลย... เอ.. มันแปลว่าอะไรเนี่ย... :) แต่ถึงผลจะออกมาแบบนั้น ในเทอมต่อมาผมก็ยังมีโอกาสได้ติวให้เพื่อนๆที่เรียนวิชานี้ในเทอมสองด้วย)

อย่างไรก็ดี ผมก็หวังว่า ชีวิตนี้ยังไงก็ขอเอาดีให้ได้สักเรื่องเพื่อที่จะเป็นอาจารย์สอนหนังสือได้สักวิชา จะเป็นอาจารย์ประจำหรืออาจารย์พาร์ตไทม์ก็สุดแล้วแต่...

เป็นอาจารย์ที่ทำให้ลูกศิษย์เกิดความสนใจ เกิดแรงบันดาลใจที่จะศึกษาต่อยอด สร้างสรรค์ผลงานให้เกิดคุณค่าแก่ตัวเขาและแก่สังคม

และผมคงจะดีใจและมีความสุขมาก หากวันนึงผมได้เห็นลูกศิษย์ของผมประสบความสำเร็จในสิ่งที่เขามุ่งหวังแล้วเดินกลับมาบอกผมว่า "ขอบคุณมากครับ/ขอบคุณมากค่ะ อาจารย์"

4 comments:

Gelgloog said...

แหม่ๆ

วันหลังติวให้ผมมั่งจิ อิอิ

เปนผมติวห้องใหญ่ๆแบบนั้นมีหวังเหนื่อยตายก่อนแน่ แถมถือโทรโข่งอีก โอ้ยยย คุณจิโนล่าที่อึ้ดจิงๆพับผ่า

กระต่ายน้อย returns said...

Man, I did the same thing for 460 too.

Moreover, I was doing a tutorial at common for the mid-term, very similar to you. But unluckily, I didn't have a torakong. My voice was gone for two-three days. That was such a memorable experiences.

Good to hear that you like to teach though. You really seems suitable to be a good lecturer.

Anonymous said...

เราว่าท่านเหมาะเป็นครูที่สุดแล้วหล่ะ

อีกหน่อยกลับมาเป็นครูจริงๆ แอบหลังไมค์มาบอกนิดนึงนะ อยากไปนั่งหลังห้องเป็นเด็กโข่งเรียนกับครูเอก ^.^

David Ginola said...

มาคิดดูอีกที ถึงลูกศิษย์ไม่เดินกลับมาบอกขอบคุณอาจารย์ อาจารย์ก็คงมีความสุขได้

แค่เพียงได้เห็นลูกศิษย์ประสบความสำเร็จ ทำประโยชน์ให้กับตัวเองและสังคมได้ อาจารย์ก็คงปลาบปลื้มใจมากแล้ว..

อ้อ พี่กระต่าย.. ผมว่าพี่โชคดีแล้วแหละคับที่ตอนติวไม่มีโทรโข่ง เพราะการถือโทรโข่ง 3-4 ชม. ติดต่อกัน มันเป็นอะไรที่ทรมานใช้ได้เลย ไม่เชื่อลองแค่ยกแขนท่อนล่างค้างไว้โดยไม่ถืออะไร ค้างไว้สักพักก็จะรู้ว่ามันเมื่อยมากๆเลยค้าบบ..