Thursday, July 21, 2005

เก้าวันกลางป่าแอฟริกาใต้ (2)

หลังจากคืนแรกอันหนาวเหน็บผ่านพ้นไป พวกเราก็เริ่มต้นทำกิจกรรมต่างๆตามโปรแกรมที่วางไว้

ผมจำไม่ได้หรอกครับว่าวันไหนพวกเราทำกิจกรรมอะไรก่อนหลัง ผมจำได้แต่ว่ากิจกรรมที่พวกเราเข้าร่วมในช่วงเวลาเก้าวันในค่ายนั้นทั้งน่าสนใจและน่าประทับใจมาก เดี๋ยวผมจะค่อยๆเล่าทีละเรื่อง

........

ไปถึงแอฟริกาใต้ ยิ่งไปอยู่ในค่ายกลางป่ากลางเขาด้วยแล้ว กิจกรรมที่พลาดไม่ได้ก็คือ การเดินทางในป่าสะวันนาของแอฟริกาใต้

พวกเรามีโอกาสได้เดินป่าอยู่หลายครั้ง บางครั้งก็เริ่มเดินตั้งแต่ที่พัก บางครั้งก็ขึ้นรถ jeep ไปสักพักก่อนแล้วค่อยลงเดินทีหลัง

การเดินป่าของพวกเราไม่ได้เป็นแค่การเดินไปเรื่อยเปื่อยเพื่อให้ถึงจุดหมายปลายทางแล้วก็กลับที่พัก การเดินป่าของพวกเรามันมีอะไรพิเศษมากกว่านั้น

วันแรกที่พวกเราได้เดินป่า กลุ่มของผม (มีสมาชิก 10 คน มี Hanneke เป็นสต๊าฟฟ์ประจำกลุ่ม) ก็เดินออกจากค่ายที่พักแรม เดินท่องไปในทุ่งหญ้าสะวันนา เจอต้นไม้ใหญ่อยู่บ้างเป็นระยะๆ

เดินไปได้สักพัก Hanneke ก็หยุดแล้วชี้ให้พวกเราดูสิ่งๆหนึ่งบนพื้นดิน... สิ่งๆนั้นคือขี้ของสัตว์ชนิดหนึ่งครับ

ขี้ที่เราเจอแต่ละก้อนมีขนาดประมาณถั่วแดงหนึ่งเม็ด มีสีดำสนิท โดยผมนับได้ยี่สิบกว่าก้อนนอนเรียงรายกันอยู่บนพื้นดิน อ้อ ขี้เหล่านี้แห้งแล้วนะครับ

Hanneke บอกให้พวกเราหยิบขี้ขึ้นมาจับดู ให้เราลองบี้ดู แล้วก็ให้พวกเราทายว่าเป็นขี้ของสัตว์อะไร

ผมลองบี้ๆดูก็พบว่าข้างในเป็นเส้นๆเล็กๆสีน้ำตาล มีเส้นใหญ่บ้างนิดหน่อย ดูแล้วทุกคนก็ให้ความเห็นว่าน่าจะเป็นสัตว์กินพืช เพราะไม่เห็นอะไรที่บ่งบอกถึงเนื้อสัตว์ในก้อนขี้เลย

Hanneke ก็เฉลยว่าน่าจะเป็นขี้ของม้าลายหรือไม่ก็กวาง impala ซึ่งเป็นสัตว์กินพืช (กินหญ้า กินใบไม้พุ่มไม้) ทั้งคู่
เดินต่อมาไม่นาน พวกเราก็เห็นขี้อีกก้อน แต่คราวนี้เป็นก้อนใหญ่กว่ากำปั้นเสียอีก มีอยู่สี่ห้าก้อน

พวกเราก็เริ่มกระบวนการบี้และตรวจสอบก้อนขี้กันอีก ปรากฏว่าภายในก้อนขี้ก้อนใหญ่นั้นมีแต่เส้นๆสีน้ำตาลอีกเป็นส่วนใหญ่ บางเส้นมีรูปร่างคล้ายใบไม้สีน้ำตาลอยู่ด้วย พวกเราก็สรุปกันว่าเป็นสัตว์กินพืชอีกชนิดหนึ่งที่ตัวใหญ่กว่าม้าลายหรือกวาง เพื่อนผมคนหนึ่งเดาว่าเป็นช้าง ซึ่ง Hanneke ก็เห็นด้วย

เดินไปอีกสักพัก พวกเราก็ได้เจอขี้ที่เป็นของสัตว์กินเนื้อบ้าง เพราะเวลาบี้ดู ข้างในก้อนขี้จะเป็นเหมือนเนื้อ มีเส้นใยเพียงเล็กน้อย Hanneke บอกว่าน่าจะเป็นขี้ของสิงโตนั่นเอง (พวกเราเริ่มกลัวขึ้นมาทันที!)

นี่คือการเรียนรู้นอกห้องเรียน แบบไม่ต้องท่องจำ เพราะเรียนจากธรรมชาติจาก(ขี้)ของจริง... เด็ดไหมครับ?

นอกจากก้อนขี้แล้ว ระหว่างการเดินป่า บางครั้งพวกเราก็ได้พบกับซากกระดูกสัตว์ริมทาง ซากที่ผมจำได้แม่นที่สุดเป็นซากของควายป่าชนิดหนึ่งครับ ที่รู้ว่าเป็นควายป่าก็เพราะเราเจอกะโหลกของมันพร้อมเขาทั้งสองข้าง ผมถ่ายรูปมาด้วยแต่น่าเสียดายว่าเป็นกล้องแบบใช้ฟิล์ม เลยเอามาลงให้ดูไม่ได้ ไม่มีสแกนเนอร์

มีอยู่ครั้งหนึ่ง พวกเราได้เห็นฝูงแร้งกลุ่มหนึ่งกำลังยุ่งอยู่กับการจัดการกับซากสัตว์ตัวหนึ่งที่สัตว์นักล่ากินเหลือไว้ ถือเป็นอีกหนึ่งบทเรียนนอกห้องเรียนเรื่องห่วงโซ่อาหาร

อ้อ วันแรกที่พวกเราเดินป่ากันนั้น พวกเราได้เดินขึ้นเขาลูกหนึ่ง เมื่อไปถึงด้านบน Hanneke ก็แจกกระดาษแล้วให้พวกเราเขียนความคาดหวังของเรา ให้คิดและเขียนว่าเราหวังอยากได้อะไรกลับไปจากการมาค่ายครั้งนี้ ซึ่งพวกเราก็แยกย้ายกันหามุมสบายๆของตัวเองเขียนความคิดลงไป

พอเขียนเสร็จ Hanneke ก็บอกกับพวกเราว่า ต่อจากนี้ระหว่างที่อยู่ในค่าย ให้เราระลึกถึงสิ่งที่เขียนลงไป แล้วก็ตั้งใจมุ่งมั่นร่วมทำกิจกรรมเพื่อให้เราได้บรรลุสิ่งที่ได้ตั้งความหวังเอาไว้

.........

ต่อมาอีกวันหนึ่ง พวกเราได้เดินทางโดยรถ jeep ขึ้นเขาไปสักพัก แล้วก็เดินเท้าต่ออีก เดินไปจนพบลำธารแห่งหนึ่ง

รอบๆลำธารเป็นพื้นหินเรียบๆ เป็นเนินสเต็ป มีลำธารไหลผ่าน มีแอ่งน้ำอยู่ด้วย (บรรยายภาพยากจริงๆครับ)

Hanneke บอกว่า เราจะมาทำกิจกรรม Water Study กันที่นี่

ตอนแรกผมก็งงๆ ว่าเราจะศึกษาอะไรได้จากน้ำในลำธารเล็กๆนี้ ต่อมาผมถึงรู้ว่าเราเรียนรู้อะไรต่างๆได้เยอะเหลือเกินจากระบบนิเวศเล็กๆนี้

Hanneke แจกอุปกรณ์ให้พวกเรา คือ แว่นขยาย และขวดพลาสติก แล้วบอกให้พวกเราลองสำรวจลำธารและแอ่งนั้นในบริเวณนี้ดู ว่ามีสิ่งมีชีวิตเล็กๆอะไรอาศัยอยู่บ้าง ถ้าเจออะไรก็ให้จับมันใส่ขวดพลาสติกมา

มองดูแบบเผินๆ ผมไม่เห็นว่าลำธารและแอ่งน้ำเล็กๆนี้จะมีสิ่งมีชีวิตอะไรอาศัยอยู่

แต่พอลองนั่งลงแล้วใช้เวลามองสำรวจดูแบบใจเย็นๆแล้ว ผมพบว่าแอ่งน้ำเล็กๆนี้มีสิ่งมีชีวิตตัวน้อยอาศัยอยู่เต็มไปหมดมากมายกว่าที่ผมคิดไว้นัก

บางแอ่งน้ำ พวกเราก็พบลูกน้ำของยุง บางแอ่งก็พบแมลงประหลาดๆอยู่ตามผิวน้ำ บางแอ่งก็พบสิ่งมีชีวิตประหลาดๆ หน้าตาคล้ายหนอนตัวเล็กมาก ว่ายอยู่ในน้ำ เจอตัวนู้นตัวนี้เต็มไปหมดครับ นี่ถ้าไม่ลองสังเกตดูแบบจริงจัง ไม่มีทางเห็นพวกมันได้แน่

หลังจากพวกเราได้จับสิ่งมีชีวิตประหลาดๆเหล่านี้มาจากแอ่งน้ำและลำธารบริเวณนั้นแล้ว พวกเราก็มารวมตัวกัน แล้วก็โชว์ให้เพื่อนในกลุ่มดูว่าจับอะไรมาได้บ้าง

Hanneke ก็หยิบแฟ้มขึ้นมาอันหนึ่ง เปิดให้พวกเราดู ในแฟ้มเป็นภาพของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้ำ แต่ละตัวก็หน้าตาประหลาดๆทั้งนั้น Hanneke บอกให้พวกเราลองเช็คดูว่า มีตัวไหนบ้างที่เหมือนกับตัวที่เราจับมา โดย Hanneke บอกว่า เราสามารถบอกระดับความสะอาด ความบริสุทธิ์ ของน้ำจากแหล่งต่างๆได้ โดยดูจากชนิดของสัตว์ที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำนั้น

พอพวกเราลองเช็คดู ก็พบว่าไอ้เจ้าตัวประหลาดที่เราจับกันมาได้มีภาพเหมือนอยู่ในแฟ้มหลายตัวทีเดียว

สัตว์ประหลาดตัวหนึ่งที่ผมจับได้ ในแฟ้มภาพบอกว่าเป็นตัวอ่อนของแมลงปอพันธุ์หนึ่ง ซึ่งจะวางไข่ในน้ำที่สะอาดและมีระดับปริมาณออกซิเจนสูง ข้อมูลในแฟ้มภาพยังบอกด้วยว่า ถ้าแหล่งน้ำใดมีเจ้าตัวนี้อยู่ แหล่งน้ำนั้นถือว่าสะอาดพอที่มนุษย์จะดื่มกินได้

ส่วนลูกน้ำยุงที่พวกเราจับมาได้จากแอ่งน้ำหนึ่ง แฟ้มภาพก็บอกว่ายุงจะวางไข่ในน้ำนิ่งที่มีออกซิเจนต่ำ เพราะน้ำที่ออกซิเจนน้อยจะไม่มีสัตว์ชนิดอื่นอยู่ เป็นการปกป้องไม่ให้ลูกน้ำถูกกินเป็นอาหารของสัตว์ชนิดอื่น แหล่งน้ำที่มีลูกน้ำอยู่ไม่ควรดื่มกิน เพราะถือเป็นน้ำขัง ไม่มีการเคลื่อนไหว มีออกซิเจนต่ำ

นอกจากนี้ ในแอ่งน้ำแอ่งอื่นๆและลำธารช่วงอื่นๆ พวกเราก็เจอสิ่งมีชีวิตอื่นๆอีกมาก พอเรามาเทียบดูกับภาพในแฟ้มภาพ เราก็สามารถดูได้คร่าวๆว่าความสะอาดของน้ำแต่ละแอ่งนั้นมันเป็นอย่างไรบ้าง แหล่งไหนดื่มได้ แหล่งไหนดื่มไม่ได้

พอสรุปเสร็จ พวกเราก็แห่กันไปดื่มน้ำจากแหล่งที่สะอาดกันถ้วนหน้า น้ำนั้นช่างเย็นชื่นใจดีเหลือเกิน

พวกเราได้รับบทเรียนอีกเรื่องหนึ่งจากกิจกรรม Water Study นั่นคือการตระหนักถึงผลกระทบที่การกระทำของมนุษย์มีต่อสิ่งมีชีวิตเพื่อนร่วมโลกชนิดอื่นๆ

ผมเห็นว่า หากเราทำอะไรบางอย่างที่ก่อให้เกิดมลพิษขึ้นกับแหล่งน้ำ ผลเสียที่เกิดขึ้นมันไม่ได้กระทบกับมนุษย์เท่านั้น แต่มันกระทบกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆอีกนับร้อยนับพันชนิดที่อาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำด้วย

ถ้าลำธารที่พวกเราไปศึกษากันเกิดมีการปล่อยสารพิษจากโรงงานลงไป สิ่งมีชีวิตบางชนิดก็จะไม่สามารถวางไข่ในลำธารนี้ได้อีกต่อไป ชีวิตของพวกมันก็จะได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรง นี่แค่ลำธารซึ่งเป็นระบบนิเวศเล็กๆนะครับ ถ้าเป็นแม่น้ำลำคลองที่ใหญ่กว่าลำธารมากนัก ผลกระทบจะยิ่งร้ายแรงยิ่งขึ้น

บทเรียนนี้ทำให้ผมนึกถึงคลองแสนแสบขึ้นมา น้ำเน่าเสียในคลองแสนแสบอาจส่งกลิ่นเหม็นเป็นที่น่ารำคาญแก่มนุษย์ ทำให้มีผู้คนที่อยู่ริมคลองและสัญจรไปมาโดยเรือออกมาก่นด่าโวยวายกันมาก แต่ผมว่าน้ำเน่าเสียในคลองแสนแสบส่งผลร้ายต่อวิถีชีวิตและความอยู่รอดของสัตว์น้ำและสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในคลองมากกว่าต่อมนุษย์มากนัก

ที่สำคัญ สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในคลองแสนแสบนั้น มันไม่มีปากไม่มีเสียงจะร้องตะโกนก่นด่าเหมือนมนุษย์เสียด้วย

พวกเราจะทำอย่างไรกันดี?

.........

อีกวันหนึ่ง พวกเราออกเดินทางจากที่พักโดยแต่ละกลุ่มขึ้นรถ jeep คันใหญ่หนึ่งคัน โดยสต๊าฟฟ์ค่ายบอกว่า วันนี้เราจะไปนั่งรถส่องสัตว์กัน

รถที่พวกเรานั่งเป็นรถแบบไม่มีหลังคา ไม่มีประตู ทำให้เวลารถแล่น พวกเราได้สัมผัสกับลมที่พัดเอาอากาศแสนสดชื่นมาให้ สูดเข้าไปเต็มปอดดีเหลือเกิน

Hanneke เล่าให้ฟังว่า แอฟริกาใต้นั้นเป็นที่อยู่อาศัยของ The Big Five หรือสัตว์ใหญ่ห้าชนิด คือ ช้าง แรด ควายป่า เสือดาว และสิงโต พวกเราหวังว่าจะได้เจอเจ้าป่าทั้งห้านี้ก่อนกลับบ้าน

วันนั้นเราได้เห็นสัตว์หลายชนิดที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติจริงๆ ซึ่งบรรยากาศมันแตกต่างจากซาฟารีจำลองแบบสวนสัตว์บางแห่งโดยสิ้นเชิง พวกเราได้เห็นทั้งกวาง ม้าลาย ควายป่า แรด ยีราฟ เหยี่ยว ออกหากินกันอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ

เสียดายก็แต่ที่ไม่มีโอกาสได้เจอช้างแอฟริกันตัวจริง ได้แต่เห็นรอยเท้าอันยิ่งใหญ่ของพวกมัน (ลืมบอกไปว่าระหว่างเดินป่า พวกเราก็จะได้พบเจอรอยเท้าสัตว์ชนิดต่างๆอยู่เรื่อยๆ ทั้งม้าลาย กวาง หรือแม้กระทั่งเสือดาว)

ไฮไลท์ของการส่องสัตว์ในวันนั้นผมคงต้องยกให้กับการได้ชมสิงโตกลุ่มหนึ่งแบบตัวเป็นๆ

บางคนอาจจะบอกว่าชมสิงโตไม่เห็นน่าตื่นเต้นเลย ในทีวีก็มีให้ดู ในสวนสัตว์ซาฟารีบางแห่งก็มีให้ชม

ข้อนี้ผมบอกได้เต็มปากว่า มันคนละเรื่องกันเลยครับ ความรู้สึกและความตื่นเต้นที่ได้รับจากการเผชิญหน้ากับสิงโตกลางป่าจริงๆ มันเหนือกว่าเยอะ

เพราะอะไรน่ะหรือครับ?

ก็เพราะว่าพวกเราได้เผชิญหน้ากับสิงโตสี่ตัว โดยพวกเราอยู่ห่างจากมันแค่ประมาณห้าเมตรเท่านั้น!

แล้วก็อย่าลืมนะครับว่ารถที่พวกเรานั่งอยู่มันไม่มีประตู ไม่มีกระจก ไม่มีอะไรทั้งนั้นที่จะกีดกั้นพวกเราจากสิงโต ถ้าเกิดมันคิดอะไรไม่ดีกับพวกเราขึ้นมา ถ้าเกิดมันวิ่งกระโจนเข้ามา พวกเราก็ไม่มีทางป้องกันตัวได้เลย

จึงไม่แปลกที่พวกเราทุกคนต่างเงียบกริบเวลาจดจ้องมองสิงโตเหล่านั้น (ผมแอบได้ยินเสียงเพื่อนกลืนน้ำลายด้วยความเสียวด้วยครับ) สิงโตแต่ละตัวนั่งๆนอนๆกันอยู่ บางทีมันก็ลุกเดินไปเดินมาบ้าง ส่งสายตามาทางพวกเราบ้าง แต่มันก็ไม่มีทีท่าว่าจะทำร้ายพวกเรา

นี่แหละครับคือความสุดยอด เพราะการได้ใกล้ชิดกับสัตว์ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “เจ้าป่า” แบบไม่มีอะไรขวางกั้นนี้ ทำให้ผมเกิดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติขึ้นมาทันทีทันใด

ผมรู้สึกว่าสิงโตไม่น่ากลัวอย่างที่เคยคิด รู้สึกว่าทั้งสิงโตและมนุษย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เป็นเพื่อนร่วมโลกเดียวกัน

ผมรู้สึกว่า พวกมันไม่เคยคิดที่จะทำร้ายมนุษย์... มนุษย์ต่างหากที่เป็นฝ่ายทำร้ายพวกมันมาโดยตลอด...

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

Tuesday, July 05, 2005

เก้าวันกลางป่าแอฟริกาใต้ (1)


ผมไม่มีวันลืมประสบการณ์สุดแสนประทับใจครั้งนั้น...

ย้อนเวลาไปเมื่อกลางปี 2545 (หนึ่งเดือนก่อนที่ผมจะเริ่มเข้าเรียนปีหนึ่งปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์ภาคภาษาอังกฤษที่ธรรมศาสตร์) ผมมีโอกาสได้ไปเยือนประเทศแอฟริกาใต้เป็นครั้งแรก

การไปเยือนแอฟริกาใต้ของผมครั้งนี้มีความพิเศษตรงที่ผมไม่ได้ไปในฐานะนักท่องเที่ยว แต่ไปในฐานะเยาวชนค่ายสิ่งแวดล้อมที่มีชื่อว่า Cathay Pacific International Wilderness Experience

ค่ายนี้จัดขึ้นโดยสายการบินคาร์เธ่ แปซิฟิก (สายการบินประจำชาติของฮ่องกง) ที่ออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางและการออกค่ายให้ทั้งหมด โดยจัดขึ้นทุกๆปี เป็นเวลาเกือบสิบปีแล้ว

ค่ายนี้เปิดโอกาสให้เยาวชนอายุประมาณ 15-18 ปีจากหลายประเทศในเอเชียเข้าร่วม ในปีที่ผมไป มีเยาวชนกว่า 50 คน มาจาก 13 ประเทศ โดยสำนักงานคาร์เธ่ แปซิฟิกในแต่ละประเทศจะต้องเปิดรับสมัครเด็กในประเทศของตน แล้วทำการคัดเลือกเด็กเพื่อที่จะส่งไปค่ายที่แอฟริกาใต้

ในปีที่ผมสมัครนั้น สำนักงานคาร์เธ่ฯที่เมืองไทยได้ร่วมมือกับนิตยสาร Nation Junior เปิดให้เด็กไทยสมัครเข้าค่ายโดยให้เขียนเรียงความภาษาอังกฤษเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชนส่งเข้ามา

จากนั้นทางคาร์เธ่ฯและ NJ จะคัดเลือกเด็กประมาณ 30 คนที่เขียนเรียงความได้ดี ให้มาเข้าค่ายสามวันสองคืนที่โครงการพัฒนาการเกษตรที่เขาหินซ้อน จังหวัดฉะเชิงเทรา

พอตอนหลังจบค่าย ทางทีมงานคาร์เธ่และ NJ ก็จะเลือกเด็กไทย 3 คนเพื่อส่งไปเข้าค่ายจริงๆร่วมกับเด็กจากชาติอื่นๆที่แอฟริกาใต้

ผมโชคดีมากที่ผ่านการคัดเลือกทั้งสองขั้นตอน ได้เป็นหนึ่งในสามตัวแทนเยาวชนไทยไปเข้าค่ายที่แอฟริกาใต้

………

เมื่อรู้ตัวว่าได้รับคัดเลือกไปแอฟริกาใต้ ผมรู้สึกตื่นเต้นมากๆถึงมากที่สุด

ก็แหงแหละครับ จะไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไร เกิดมาผมไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าจะได้ไปเหยียบทวีปแอฟริกาเลย

เพื่อนคนไทยอีกสองคนที่ได้ไปกับผมก็คงตื่นเต้นไม่แพ้กัน คนหนึ่งชื่อไผ่ เป็นสาวน้อยร่างบางมาจากเฉลิมขวัญสตรี จังหวัดพิษณุโลก อีกหนึ่งสาวชื่อดอย อยู่เตรียมอุดมฯนี่เอง นอกจากนี้ยังมีพี่นักข่าวอีกสองคนที่จะติดตามไปทำข่าวด้วย คือพี่หยกจาก NJ และพี่มิ่งจากแพรวสุดสัปดาห์

ก่อนออกเดินทางพวกเราต้องเตรียมตัวเพื่อไปทำกิจกรรมหลายเรื่อง (เรื่องอะไรบ้างนั้นไว้เดี๋ยวผมค่อยเล่าทีเดียว) พี่ๆที่คาร์เธ่ฯโดยเฉพาะพี่แหม่ม ก็ได้คอยประสานงานและช่วยพวกเราเตรียมตัวได้ดีมาก

ถึงวันเดินทาง พวกเราห้าคนก็บินลัดฟ้าไปที่ฮ่องกงก่อน เพื่อไปรวมตัวกับเยาวชนจากชาติอื่นๆที่นั่น แล้วจึงออกบินข้ามทวีปไปแอฟริกาพร้อมๆกัน

ตอนไปถึงฮ่องกง บรรยากาศคึกคักมาก เพราะเป็นการพบกันครั้งแรกของเยาวชนห้าสิบคนจากสิบกว่าประเทศ เช่น มาเลเชีย จีน บาห์เรน ไต้หวัน สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ และฮ่องกง

พวกเราเริ่มทำความรู้จักกันและได้เดินทางไปที่ศูนย์การค้าแห่งหนึ่งใจกลางเกาะฮ่องกงเพื่อร่วมงานเปิดตัวค่ายที่นั่น งานนี้มีผู้คนที่เดินห้างอยู่สนใจมานั่งดูยืนดูกันเยอะพอสมควร

หลังงานเลิก พวกเราก็พากันไปเดินชมศูนย์กลางค้าที่ฮ่องกงอยู่เกือบสองชั่วโมง พอกลับมารวมตัวกันก็ปรากฏว่าตัวแทนของสิงคโปร์ที่มาคนเดียว เกิดป่วยกะทันหัน อาการไม่ค่อยดี จึงอดไปแอฟริกาใต้กับพวกเรา ค่ายเราเลยขาดสมาชิกไปหนึ่งคนตั้งแต่ยังอยู่ที่ฮ่องกงนี่เอง

พอตกค่ำ พวกเราก็ออกเดินทางสู่แอฟริกาใต้พร้อมๆกัน บรรยากาศบนเครื่องก็สดใสและคึกคักเป็นพิเศษ จะไม่ให้คึกคักได้อย่างไร ก็เด็กกว่าห้าสิบคนบินไปไฟลท์เดียวกัน

หลังจากนั่งเครื่องบินอยู่หลายชั่วโมง พวกเราก็มาถึงประเทศแอฟริกาใต้ในช่วงเช้า โดยเครื่องลงจอดที่สนามบินนานาชาติโยฮันเนสเบิร์ก

เมื่อเราลงจากเครื่องแล้วเดินผ่านงวงช้างเข้าสู่ตัวสนามบิน มีทีมงานค่าย 5-6 คน และเพื่อนร่วมค่ายชาวแอฟริกาใต้อีกสิบคนมาต้อนรับพวกเรา แต่ละคนดูเป็นมิตรและเป็นกันเองมาก ส่วนบรรยากาศภายในสนามบินก็คล้ายๆกับสนามบินที่อื่นๆแหละครับ (แต่ดูดีกว่าสนามบินดอนเมือง)

หลังผ่านการตรวจคนเข้าเมือง พวกเราก็เดินออกจากสนามบิน...

“อูยยยย.... หนะ... หนะ... หนาววววมากกกก....” ผมบ่นกับตัวเอง

หนาวจริงๆครับ เดินไปสั่นไป ปากก็สั่น ตัวก็สั่น ต้องรีบหยิบเสื้อหนาวมาใส่โดยเร็วก่อนที่เป็นอะไรไปก่อน

เดินสักห้านาที พวกเราก็มาถึงรถบัสที่จอดรออยู่ เอากระเป๋าสัมภาระเข้าท้องรถเสร็จ พวกเราก็ออกเดินทางสู่สถานที่จัดค่าย ที่แห่งนี้มีชื่อว่า Entabeni Game Reserve เป็นคล้ายๆกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งหนึ่งของแอฟริกาใต้

ระหว่างการเดินทาง พวกเราก็งีบหลับบ้าง คุยกันบ้าง ภูมิประเทศสองข้างทางนั้นส่วนใหญ่เป็นเนินเขาที่มีทุ่งหญ้ากว้างไกล ผ่านไปสักสองชั่วโมงรถบัสก็แวะที่สถานที่แห่งหนึ่ง

ผมไม่แน่ใจว่าที่แห่งนี้คืออะไร มันดูเหมือนบ้านพักรับรอง มีห้องโถง มีสวนและสนามหญ้าสวยๆ

ที่นี่เป็นสถานที่จัดงานต้อนรับพวกเราสู่แอฟริกาใต้ครับ มีญาติของเนลสัน แมนเดลล่า มากล่าวเปิดงาน แล้วทีมงานค่ายก็กล่าวต้อนรับอย่างเป็นทางการ มีการแนะนำทีมงานค่าย แล้วก็แบ่งพวกเราออกเป็น 5-6 กลุ่ม โดยกลุ่มของผมมีสต๊าฟฟ์ผู้หญิงชื่อ Hanneke เป็นคนดูแลรับผิดชอบ

หลังจากนั้นพวกเราก็เริ่มทำกิจกรรมละลายพฤติกรรมกันที่สนามหญ้า แล้วก็เบรกกินกาแฟกันที่สวน อ้อ.. อากาศในช่วงกลางวันก็สบายๆนะครับ ไม่ร้อนไม่หนาว กำลังดีทีเดียว

เสร็จจากนั้นพวกเราก็เดินทางกันต่อจนไปถึงที่ค่ายก็ตอนบ่ายแก่ๆเห็นจะได้ ค่ายนี้ตั้งอยู่กลางป่าแอฟริกา ซึ่งมีลักษณะเป็นทุ่งหญ้า มีต้นไม้สูงอยู่กระจัดกระจาย ไม่เหมือนกับป่าฝนเขตร้อนที่ต้นไม้ใหญ่อยู่ติดๆกัน

บริเวณค่ายมีรั้วไม้ล้อมรอบ พื้นที่ของค่ายน่าจะประมาณเกือบเท่าสนามฟุตบอล ตรงกลางค่ายมีจุดก่อกองไฟและมีเก้าอี้ล้อมรอบกองไฟเป็นวงกลม

ส่วนที่พักของพวกเราก็เป็นเต็นท์ครับ คล้ายๆกับเต็นท์ทหาร มีผ้าใบคลุมทั้งสี่ด้าน โดยผ้าใบด้านหนึ่งเปิดได้เพื่อเป็นทางเข้าออก ในหนึ่งเต็นท์ก็มี 3-4 เตียงนอน

ส่วนที่แปลกที่สุดเห็นจะเป็นห้องน้ำ ห้องน้ำหญิงกับห้องน้ำชายอยู่คนละด้านของค่าย โดยบริเวณห้องน้ำมีขนาดประมาณห้องเรียนหนึ่งห้องในโรงเรียนมัธยมบ้านเรา พื้นห้องน้ำเป็นหินก้อนเล็กๆ และมีเทปูนบ้างตรงที่อาบน้ำ ธรรมชาติดีจริงๆ

ที่สำคัญ บริเวณห้องน้ำเป็นแบบ open air ครับ คือไม่มีหลังคา มีแต่กำแพงไม้กั้นรอบบริเวณ มีอ่างล้างหน้าอยู่ 3-4 อ่าง มีห้องส้วมอยู่ 3 ห้อง (แต่ละห้องมีประตูไม้บางๆ) ส่วนที่อาบน้ำนั้น ไม่มีแบ่งเป็นห้องๆครับ เป็นที่อาบน้ำรวม มีฝักบัวอยู่ 4 ฝักเห็นจะได้ เวลาอาบก็ยืนอาบกันทีละสี่คนเรียงกันไม่มีอะไรมาขวางกั้นหรอกครับ!

ผมพักกับคนฮ่องกงและคนแอฟริกาใต้ อยู่กันสามคน เย็นวันนั้นหลังจากเอาของเข้าที่เต็นท์ของตัวเองเรียบร้อย อากาศเริ่มหนาวเย็นยิ่งขึ้น พวกเราทานข้าวกัน แต่ผมจำไม่ได้จริงๆว่าเราทานอะไรกันในมื้อนั้น

ที่ผมจำได้แม่นคือ ความทรมานในคืนแรกของผมและของใครอีกหลายๆคน...

ความทรมานที่ว่ามันคือ ความหนาวชนิดที่ผมไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน หนาวยะเยือกไปถึงก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ ทั้งๆที่ตอนนอนผมก็ใส่เสื้อหนาวเข้านอนในถุงนอน แล้วเอาผ้าห่มอีกสามชั้นห่มทับไว้ก็ยังไม่รู้สึกอุ่น

ตื่นมากลางดึกก็พบว่า ผ้าห่มสามผืนนั้นตกลงไปที่พื้นหมดแล้ว ผมเลยเอามันขึ้นมาใหม่ แล้วก็พยายามหลับตานอนท่ามกลางอากาศที่หนาวยะเยือกสุดแสนจะทน

ตื่นมาตอนเช้า อากาศยังคงหนาวจัดเหมือนเดิม เดินออกมาข้างนอกก็เห็นเพื่อนคนอื่นๆใส่เสื้อหนาว ผูกผ้าพันคอ ยืนผิงไฟกันอยู่ที่กองไฟ ผมก็ไปร่วมแจมด้วย

คุยกับเพื่อนคนไทยและเพื่อนคนอื่นๆก็ได้ความว่า เมื่อคืนนี้ทุกคนล้วนแล้วแต่ประสบกับชะตากรรมเดียวกัน คือนอนไม่ค่อยหลับ เพราะความหนาวเหน็บแทบจะขาดใจ

ตอนหลัง Hanneke ถึงได้บอกกับพวกเราว่า วิธีการนอนให้อุ่นนั้น ต้องใส่เสื้อหนาว แล้วก็ยัดผ้าห่ม 3 ผืนเข้าไปในถุงนอน แล้วก็เอาผ้าห่มผืนใหญ่ทับบนถุงนอนอีกที

เมื่อรู้วิธีการนอนที่ถูกที่ควรแล้ว คืนต่อๆมาพวกเราจึงได้นอนแบบไม่หนาว จะว่าอบอุ่นก็คงไม่ถูกต้อง เพราะมันไม่อุ่นเลย มันเย็นยะเยือก เพียงแต่มันไม่หนาวสั่น พอนอนหลับได้

ผมสงสัยเหลือเกินว่า ทำไมไม่บอกตั้งแต่คืนแรก! อาจเป็นเพราะทีมงานค่ายคงอยากจะให้เรารับรู้ถึงรสชาติความหนาวของป่าแอฟริกาสักคืนนึงก่อน

เวลาผมคิดถึงความหนาวเหน็บแบบในคืนแรกขึ้นมา มันทำให้ผมรู้สึกทึ่งและนับถือในความสามารถของบรรดาสัตว์ป่าทั้งหลาย ที่อยู่ท่ามกลางความหนาวได้โดยไม่ต้องมีผ้าห่มหรือเสื้อหนาวช่วยเลย

ข้าน้อยขอคารวะ