Monday, April 30, 2007

What should we do?

Today, the Bank of Thailand published the latest monthly data of the Thai economy (See the data or report). As far as economic growth is concerned, the figures certainly look so depressing and worrying enough that I decide to postpone my blog on “When I fall in love” and write a blog on Thailand’s economic conditions instead.

The latest economic data strongly suggests that we are indeed in a recession.

Private investment continues to slow down, as reflected by the slower growth of the MPI (Manufacturing Production Index) and the negative year-on-year growth of the PII (Private Investment Index). Private consumption is also very sluggish, with the PCI (Private Consumption Index) exhibiting negative year-on-year growth.

The tourism sector continues to grow, albeit at a slow rate. VAT and corporate income tax collections, both of which are indicators of current economic activities, also exhibit very low and negative growth rates respectively. The only two bright sides of the economy are the low-inflation environment and the export sector, whose growth remains very strong.

If things continue to be as they are right now, this year’s economic growth is expected to be around 4%, lagging behind the growth of most other emerging economies. Moreover, if domestic demand does not start to recover soon, the vulnerability of the economy to external shocks will become increasingly threatening. A slowdown in our major trading partners’ economies will have severe impact on our economic growth. Worst of all, if the price of oil keeps rising, we could end up with a high-inflation and sluggish-growth environment – a difficult situation indeed for economic policymakers.

This may seem overly pessimistic to some observers but it is my personal belief that, when it comes to public policy-making, being reasonably risk-averse and cautious is more beneficial to the society than being overly confident and optimistic.

So, what should we do now to boost growth and avoid serious recession? Macroeconomic-wise, given the latest economic information, the policy choice is clear: expansionary fiscal and monetary policy.

In its next meeting, it is likely that the Monetary Policy Committee will further lower the policy interest rate, quite probably by 50 basis points. However, monetary policy takes a long time to affect the economy and its effectiveness depends on whether the available transmission mechanisms work well or not. So, fiscal policy should play an active and leading role in stimulating the economy this year.

Anyway, these macroeconomic policies are short-run economic stabilizers. The long-term future of the Thai economy is still unclear. The most serious and challenging question we need to address is: how do we increase the competitiveness of Thai firms? After all, long-term economic growth is driven by productivity improvements. And I wonder, what have our governments – past and present - done about this?

I think our beloved country desperately needs a vision and a well-defined strategy of where we want to go from here. Unfortunately, amid all the current political and economic uncertainties and conflicts, I can’t really see how we could practically come up with that vision or strategy. It seems like everyone is trying to survive each day, which is difficult enough, and doesn’t really care what the future lies.

What should we do?

Tuesday, April 24, 2007

เมื่อผม...ตกหลุมรัก!

จั่วหัวไว้แบบนี้ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดคิดว่าผมไปปิ๊งสาวไหนเข้าให้นะครับ

ยังครับ ยังไม่ได้ปิ๊งใครใหม่ในช่วงนี้...

ขอเวลาให้หัวใจได้เว้นวรรคพักร้อนบ้าง

แต่วันก่อนผมไปเจอหนังสือเล่มนึง เขียนโดยผู้หญิงคนหนึ่ง

อ่านแล้วอยากบอกว่า...

แอบปลื้มและตกหลุมรักเธอเข้าอย่างจัง

เธอคือใคร? ใครคือเธอ? ทำไมเธอถึงทำให้ผม (และคงจะอีกหลายๆคนที่ได้อ่านหนังสือของเธอ) ตกหลุมรักเธอได้?

อดใจรอสักพักนะครับ ตอนนี้ยุ่งมากกับหลายๆเรื่อง อาทิตย์หน้าว่างแล้ว จะมาเขียนถึงเธอคนนี้ครับ :)

Monday, April 16, 2007

tag แฉความลับ (ข้อ 4-5)

หลังจากที่ผมได้แฉความลับตัวเองไป 3 ข้อแล้วใน tag แฉความลับ (ข้อ 1-3) วันนี้ขอเขียนต่ออีก 2 ข้อที่เหลือนะครับ

ข้อสี่ ข้อนี้ผมขอตั้งชื่อว่าเรื่อง "ซ้ายๆขวาๆ" ของผม

อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าผมจะพูดถึงเรื่อง ฝ่ายซ้าย ฝ่ายขวา ปรัชญาเศรษฐกิจหรือการเมืองนะครับ

เรื่องที่ผมจะพูดมันไร้สาระกว่านั้นมากๆ ฮ่าๆ...

ผมเป็นคนถนัดขวาโดยกำเนิด ใช้มือขวาเขียนหนังสือ ใช้มือขวาเล่นเทนนิส ปิงปอง ฯลฯ

ตอนประถม สมัยผมเริ่มเล่นฟุตบอลครั้งแรก ผมก็ใช้เท้าขวาเล่นบอล

แต่จำได้ว่าตอน ป.4 ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร แต่อยู่ดีๆ ผมก็เกิดอาการอยากใช้เท้าซ้ายเตะบอลบ้าง

อาจเป็นเพราะเพื่อนผมส่วนใหญ่ถนัดเท้าขวา ผมเลยอยาก "แนว" ด้วยการเป็นนักเตะถนัดซ้าย

ผมเลยลองฝึกเตะบอลด้วยเท้าซ้ายดู

เชื่อหรือไม่ ผมกลายเป็นนักฟุตบอลถนัดซ้ายไปในเวลาไม่ถึงปี

แต่จะว่าไป ผมก็ใช้เท้าซ้ายได้ไม่ดีเท่ากับคนที่ถนัดซ้ายโดยธรรมชาติ

เพราะแม้ผมจะใช้เท้าซ้ายได้ดีกว่าเท้าขวาในการจับบอล จ่ายบอล โยนบอล และยิงบอล แต่ผมไม่สามารถใช้เท้าซ้ายเลี้ยงบอลให้ดีได้

เท้าขวาของผมยังคงใช้การได้ดีกว่าเท้าซ้ายเมื่อพูดถึงการคอนโทรลบอลและเลี้ยงบอล

กลายเป็นว่า ทุกวันนี้เวลาผมเล่นบอล พอได้รับบอล ผมจะเลี้ยงด้วยขวา แล้วล็อกเข้าซ้ายหาจังหวะส่งหรือยิงประตู

แบบนี้ผมพบว่าก็ดีไปอีกแบบ เพราะผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามจะจับทางยากขึ้น เหมือนแบบ "ทำไมไอ้นี่มันเลี้ยงด้วยขวา แล้วไปๆมาๆมันยิงหรือส่งด้วยซ้ายฟะ"

อืม.. ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้แอบไร้สาระ เอาเป็นว่าผมขอสรุปว่าบทเรียนของเรื่องนี้ก็คือ ถึงเราถนัดขวาโดยธรรมชาติ เราก็สามารถฝึกใช้เท้าซ้ายที่ไม่ถนัดให้ดีได้ เพราะฉนั้น ทุกอย่างเป็นไปได้หากเราตั้งใจฝึกฝนนะครับ

.........

อีกเรื่องเกี่ยวกับ "ซ้ายๆขวาๆ" ของผมนั้น เกี่ยวข้องกับอวัยวะส่วนหนึ่งบนใบหน้าครับ

เป็นเรื่องเกี่ยวกับ "หู" ของผมเอง

หูผมไม่ได้มีอาการผิดปกติอะไร มันใช้รับฟังสิ่งต่างๆ ได้ดีเหมือนคนทั่วไป

หูผมไม่ได้กาง ไม่ได้ยาน เป็นพิเศษอะไร และไม่ได้แนบชิดติดข้างใบหน้าเป็นพิเศษแต่อย่างใด

แต่เรื่องของเรื่องคือ หูซ้ายกับหูขวาของผมมันมีขนาดไม่เท่ากันครับ!

ผมเพิ่งจะสังเกตเห็นถึงความไม่เท่ากันนี้เมื่อไม่กี่ปีนี้เอง

คือหูซ้ายของผมมันใหญ่และกางออกมากกว่าหูขวาอย่างค่อนข้างชัดเจน (ถ้าสังเกตดู)

แปลกดีไหมครับ มือ เท้า ตา ขา และแขนของผมมันก็เท่ากันทั้งสองข้าง แล้วทำไมหูมันถึงได้ไม่เท่ากันได้ละเนี่ย...???

ข้อห้า มาถึงข้อสุดท้ายเลยดีกว่า ข้อนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความใฝ่ฝันของผม


ตอนเด็กๆ หรือแม้กระทั่งตอนโต พวกเราทุกคนต่างก็มีความใฝ่ฝัน อยากทำนู่นเป็นนี่ ผมเองก็มีความฝันเช่นกัน

ความฝันหนึ่งของผมคือการเป็นนักฟุตบอลอาชีพค้าแข้งในอังกฤษ

ผมเริ่มเล่นบอลอย่างจริงจังมาตั้งแต่ ป.4 เล่นบอลกีฬาสีสมัยประถม ตอนเรียนมัธยมที่สิงคโปร์ก็เล่นบอลให้หอพัก เรียนที่ธรรมศาสตร์ก็เล่นให้บีอี

ตอนไปแลกเปลี่ยนที่ UC Davis ก็ไปเล่นที่นั่น (จำได้ว่ามีวันนึงที่ Davis มีเด็กจีนเตะบอลกันสิบกว่าคน ผมก็ไป "เนียน" เล่นด้วย ทั้งๆที่พวกเขาพูดภาษาจีนกันหมด เวลามันพูดกับผมผมก็พยักหน้าเออออไปเรื่อยทั้งที่ไม่เข้าใจที่มันพูดสักอย่าง แต่ก็ใช้ภาษาฟุตบอลสื่อสารกันพอได้ ฮ่าๆ)

ตอนนี้ทำงานที่แบงก์ชาติก็เล่นบอลอาทิตย์ละครั้งตอนเย็น (ที่แบงก์มีคนเตะบอลกันทุกวันตอนเย็นครับ) แล้วก็ทุกวันอาทิตย์ก็นัดเตะบอลกับเพื่อนๆที่บีอี

การเล่นฟุตบอลจึงเป็นกิจกรรมที่ผมรักมากถึงมากที่สุด เวลามีความสุข ผมก็อยากเล่นบอล เวลาเครียดๆหรือเสียใจอะไร ผมก็อยากเล่นบอล มันทำให้ผมลืมความเครียดหรือความเศร้าได้ดีมากๆ

แล้วเวลาอยากเล่น แต่มีอะไรบางอย่างทำให้ไม่ได้เล่น (เช่น ฝนตก หรือหาเพื่อนเล่นไม่ได้) ผมจะหงุดหงิดเอามากๆ

ด้วยเหตุนี้ ผมถึงอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพเล่นให้กับสโมสรที่ผมรักคือ ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ อยากเล่นให้ทีมชาติไทย พอเลิกเล่นก็เป็นโค้ชต่อ แล้วก็รับจ็อบเป็นผู้บรรยายฟุตบอลด้วย และถ้าให้ดีอยากเป็นโค้ชทีมชาติไทยที่สามารถพาทีมไปบอลโลกได้สำเร็จ

ผมแอบเชื่อลึกๆในใจว่า ถ้าผมมีโอกาสได้ฝึกหัดฟุตบอลกับสโมสรที่อังกฤษตั้งแต่ตอนเป็นเยาวชน ผมจะสามารถทำฝันนี้ให้เป็นจริงได้

แต่ชีวิตจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นน่ะสิครับ หุหุ

อีกความฝันนึงของผม ต้องย้อนไปตอนสมัยเรียน ม.ต้น ครับ

ตอนนั้น ผมชอบเรียนวิทยาศาสตร์มาก ผมเลยฝันอยากเป็นครูมัธยมสอนวิทยาศาสตร์ จำได้ว่าผมจินตนาการอยากเป็นครูที่มีรูปแบบเทคนิคการสอนที่แปลกๆ สนุกๆ ไม่น่าเบื่อ อยากพาเด็กไปเรียนนอกห้องเรียน และอยากเป็นครูที่นักเรียนอยากเรียนด้วย

แต่พอโตขึ้น ความฝันนี้ก็เลือนหายไป แต่ก็ไม่ได้หายไปสักทีเดียว


เพราะผมยังชอบสอนและอยากสอนหนังสืออยู่ไม่เปลี่ยน

ย้อนไปตอนปีหนึ่งสมัยเรียนที่ธรรมศาสตร์ วิชาแรกที่ผมเรียนและชอบมากคือ Microeconomics

ตอนนั้นผมและเพื่อนๆ จะนัดกันติวอยู่บ่อยๆ โดยเพื่อนๆจะขอให้ผมช่วยเป็นติวเตอร์ให้ ซึ่งผมก็รับเป็นติวเตอร์ด้วยความยินดียิ่ง

เรามักจะนัดติวกันไปเปิดห้องติวกันที่ชั้น U3 ของหอสมุดปรีดี ห้องมันก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรแต่เราก็อัดๆกันเข้าไปกันได้ นั่งเบียดๆกันได้เป็นสิบๆคน (บรรยากาศอบอุ่นมาก)

ผมต้องคอยซื้อปากกาไวท์บอร์ดติดไว้ (ต้องมีอย่างน้อยสองสี เพราะการสอนเสดสาดต้องมีกราฟเยอะ ถ้าใช้ปากกาสีเดียวจะงงเอาได้ง่ายๆ) ส่วนเพื่อนๆก็จะเตรียมทิชชูไว้สำหรับลบกระดานในกรณีที่ไม่มีแปรงลบ

การที่ผมเป็นติวเตอร์ ไม่ได้แปลว่าผมต้องรู้มากและเก่งกว่าเพื่อนๆในเนื้อหาวิชาหรอกนะครับ มีบ่อยครั้งไปที่ผมเจอเนื้อหาที่ไม่เข้าใจหรือเจอคำถามที่ตอบไม่ได้ และต้องอาศัยเพื่อนๆคนอื่นช่วยอธิบาย

สิ่งสำคัญของการเป็นติวเตอร์คือการสังเคราะห์เนื้อหาที่เรียนให้ดี แล้วถ่ายทอดออกมาให้เข้าใจง่ายและน่าสนใจ ทำให้คนเรียนรู้สึกสนใจและมีทัศนคติที่ดีในเรื่องที่เรียน ให้เขามีพื้นฐานที่ดีเพื่อไปต่อยอดได้ด้วยตัวเองต่อไป...


หลังจากติววิชา Micro ผมก็เปิดติววิชาอื่นมาเรื่อยๆ ทั้งที่มหาลัยและนัดไปติวกันที่บ้านเพื่อน

ผมเคยติววิชาแคลคูลัสให้น้องๆที่จะสอบเข้าบีอี รู้สึกดีใจและตื้นตันใจมากๆตอนที่ติวจบแล้วมีน้องเดินเข้ามาบอกว่า "พี่ๆ ขอบคุณมากเลย ผมไม่เคยเข้าใจว่าแคลคูลัสคืออะไร ไม่เข้าใจว่า diff คืออะไร เพิ่งจะเข้าใจก็วันนี้แหละพี่"

แต่ถ้าถามว่าน้องคนนั้นสอบได้หรือเปล่า อันนี้ผมไม่รู้จริงๆ (ฮา)

นอกจากนี้ ผมก็เคยสอนภาษาอังกฤษให้น้อง ม.ต้น และ ม.ปลาย ทั้งแบบตัวต่อตัวและแบบหลายๆคน ซึ่งผมก็มีความสุขจากการสอนอย่างมาก

แต่การติวที่ผมประทับใจที่สุด ต้องยกให้การติววิชา EE460 Thai Economy ซึ่ง อ.นิพนธ์ พัวพงศกร คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ในปัจจุบันเป็นอาจารย์ผู้สอนครับ

วิชานี้ ขึ้นชื่อลือชาว่าหิน ยิ่งเมื่อได้อาจารย์คุณภาพคับแก้วอย่าง อ.นิพนธ์ เป็นคนสอนด้วยแล้ว ความหินยิ่งเพิ่มขึ้นแบบ exponential

เป็นวิชาที่มีเพื่อนๆ request ขอให้เปิดติวมากที่สุดเป็นประวัติการณ์เลยครับ

ตอนก่อนสอบ mid-term ผมก็เปิดติวใหญ่หนึ่งครั้ง ซึ่งตอนนั้นจำได้ว่าไม่สามารถหาจองห้องเพื่อติวได้ สุดท้ายเลยลงเอยด้วยการติวที่ "คอมม่อน" (บริเวณใต้คณะเศรษฐศาสตร์)

เพื่อนผมไปลากกระดานไวท์บอร์ดมาจากห้องกิจกรรมนักศึกษามาตั้งไว้ด้านหลังคอมม่อน (หลังกระดานเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา) แล้วก็จัดแจงเคลื่อนย้ายโต๊ะและม้านั่งให้เหมาะสมแก่การนั่งฟังการติว

ส่วนผมก็กะว่าจะจับปากกาไวท์บอร์ดแล้วติวปากเปล่าแบบ open air อยู่ตรงนั้น

แต่ปรากฏว่าเพื่อนๆ มาฟังกันเกินคาดครับ มากัน 30-40 คน และด้วยความที่บริเวณนั้นเป็น open air ทำให้หลายคนไม่ได้ยินในสิ่งที่ผมพูด

เพื่อนผมเลยอุตส่าห์ไปหาโทรโข่งมาให้...

ผมก็ยืนติวตรงนั้น มือซ้ายถือโทรโข่ง (โทรโข่งนะครับ ไม่ใช่เบาๆเหมือนไมโครโฟน) มือขวาจับปากกาเขียนไวท์บอร์ด ปากก็พูดๆไป... เป็นเวลาเกือบสี่ชั่วโมง...

ระหว่างติวก็ต้องมีการพักบ้าง เพื่อนๆก็ซื้อน้ำซื้อขนมมาเสิร์ฟอยู่เรื่อย... บางทีคุณป้าร้านขนมก็จะเอาขนมเอาน้ำมาให้แบบจะไม่ยอมคิดตังค์ แล้วก็มักจะถามผมบ่อยๆว่า "เอก... เอกจบแล้วจะมาเป็นอาจารย์รึเปล่า ป้าว่าเอกเหมาะมากเลยนะ"

วันนั้นพอติวเสร็จ ผมแทบจะล้มนอนตรงนั้นเลยครับ เป็นการติวที่เหนื่อยที่สุด เมื่อยที่สุด (ทั้งแขนและขา) แต่ก็ประทับใจและอิ่มเอมใจที่สุดเช่นกัน...

พอตอนใกล้สอบ final ผมก็เปิดติวอีกครั้ง คราวนี้กะว่าจะติวกันกลุ่มเล็กๆ เลยนัดแนะกันว่าจะไปติวกัน 6-7 คนที่บ้านเพื่อนสนิทคนนึงแถวรามอินทรา

แต่ก่อนถึงวันนัดหนึ่งวัน ปรากฏว่าเพื่อนๆคนอื่นมากมายเริ่มรู้ว่าจะมีการเปิดติว ข่าวแพร่สะพัดอย่างรวดเร็วดังตลาดเสรีที่มี perfect information...

ถึงวันนัดติวจริงๆ ปรากฏว่ามีเพื่อนๆ มาที่บ้านเพื่อนผมที่รามอินทรากว่า 40 คน!

ดีที่บ้านเพื่อนคนนี้มันกว้างขวาง สามารถรองรับคนจำนวนนี้ได้ แม้บางคนจะต้องแชร์เก้าอี้กัน บางคนจะต้องนั่งพื้น แต่ก็พอนั่งกันได้

วันนั้นติวกันตั้งแต่ประมาณ 9 โมงกว่า พอตอนเที่ยงก็พักกินข้าวกัน ซึ่งคุณแม่ของเพื่อนผมก็สั่งอาหารตามสั่งร้านแถวบ้านใส่กล่องโฟมมาเลี้ยงทุกคน

มีทั้งข้าวกระเพรา ข้าวหมูทอด ข้าวผัด ฯลฯ พวกเรานั่งกินข้าวกล่องกันเป็นวง เป็นกลุ่มก้อน บรรยากาศดูอบอุ่นน่ารัก เหมือนมาออกค่ายอยู่กลายๆ

พอตอนบ่ายก็ติวต่อจนเย็น จึงแยกย้ายกลับบ้าน...

เป็นอีกวันที่เหนื่อยมากๆ แต่ก็ดีใจมากเช่นกัน

มันเหมือนเป็นความอิ่มเอิบใจที่ได้ทบทวนความรู้ให้กับเพื่อนๆ และก็อย่างที่บอกว่าผมไม่ได้รู้มากไปกว่าคนอื่น มันเหมือนพวกเรามาช่วยกันเรียน มา discuss กัน โดยที่ผมเป็นเหมือนคนปูพื้นฐานและคนนำอภิปรายแค่นั้นเอง

บางเรื่องที่ผมติวก็มีคนแย้งว่ามันผิดนะ เค้าเข้าใจอีกแบบหนึ่ง แล้วเราก็ถกกัน บางเรื่องที่ผมไม่แน่ใจไม่เข้าใจ ก็จะมีเพื่อนคนอื่นช่วยอธิบายแทน ผมก็ได้เรียนรู้จากเขาไปด้วย

ส่วนใครที่รู้น้อย อ่านหนังสือมาน้อย ก็จะได้ความรู้พื้นฐานของเนื้อหาวิชาไป แล้วก็ไปอ่านต่อยอดเองได้

ทั้งหมดนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่าการเป็นครูเป็นอาจารย์นั้น เป็นงานที่ช่วยสร้างคุณค่าให้แก่คนอื่นอย่างเห็นได้ชัด (แม้ความจริงจะปรากฏว่า ในวิชา EE460 ที่ผมติวนั้น มีคนได้ A อยู่ 3-4 คน ซึ่งทุกคนที่ได้ A นั้น เป็นคนกลุ่มน้อยที่ไม่ได้มาติวกับผมก่อนสอบ final ส่วนคนที่มาติวกับผมนั้นไม่มีใครได้ A เลย... เอ.. มันแปลว่าอะไรเนี่ย... :) แต่ถึงผลจะออกมาแบบนั้น ในเทอมต่อมาผมก็ยังมีโอกาสได้ติวให้เพื่อนๆที่เรียนวิชานี้ในเทอมสองด้วย)

อย่างไรก็ดี ผมก็หวังว่า ชีวิตนี้ยังไงก็ขอเอาดีให้ได้สักเรื่องเพื่อที่จะเป็นอาจารย์สอนหนังสือได้สักวิชา จะเป็นอาจารย์ประจำหรืออาจารย์พาร์ตไทม์ก็สุดแล้วแต่...

เป็นอาจารย์ที่ทำให้ลูกศิษย์เกิดความสนใจ เกิดแรงบันดาลใจที่จะศึกษาต่อยอด สร้างสรรค์ผลงานให้เกิดคุณค่าแก่ตัวเขาและแก่สังคม

และผมคงจะดีใจและมีความสุขมาก หากวันนึงผมได้เห็นลูกศิษย์ของผมประสบความสำเร็จในสิ่งที่เขามุ่งหวังแล้วเดินกลับมาบอกผมว่า "ขอบคุณมากครับ/ขอบคุณมากค่ะ อาจารย์"

Monday, April 09, 2007

สายฝนที่โปรยปราย

ฝนกำลังตกลงมาอย่างหนัก หลังจากที่อากาศในกรุงเทพร้อนจัดมาหลายวัน

ผมเลี้ยวรถฮอนด้าซีวิคคู่ใจเข้าสู่ตลาด บอง มาเช (Bon Mache) ย่านประชานิเวศน์ ในรถมีพ่อและแม่ร่วมโดยสารมาด้วย

พ่อ แม่ และน้องชายของผม กำลังจะไปบินไปเมืองจีนในวันพรุ่งนี้ เพราะแม่จะต้องไปประจำราชการที่นั่นเป็นเวลาหลายปี

วันนี้ ผมพาแม่มาเอาชุดที่ตัดไว้ที่ร้าน “อัญชัน” ในตลาด บอง มาเช แห่งนี้

ตลาด บอง มาเช แห่งนี้เป็นตลาดสไตล์ Community Marketplace ที่นี่มีทะเลสาบสวยตั้งอยู่ตรงกลาง สองด้านของทะเลสาบเป็นที่ตั้งของร้านขายอาหารคาวหวาน เครื่องดื่ม ผักผลไม้ และขนมของกินคุณภาพดีอีกมากมาย เราสามารถซื้อหาอาหารมานั่งทานพร้อมกินลมชมวิวริมทะเลสาบได้อย่างแสนสบาย

อีกสองด้านของทะเลสาบถูกออกแบบเป็นตึกสองชั้น มีระเบียงทางเดินแบบ open air โดยสองข้างทางมีร้านค้าขายของสารพัดชนิดตั้งเรียงรายอยู่ ตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องประดับแปลกๆ ของเก่า ของตกแต่งบ้าน มีสาขาธนาคาร ร้านนวดแผนไทย ฯลฯ

ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ช่วงหลังสี่โมงเย็น ทางตลาดยังได้จัดให้มีเวทีแสดงเพลง Jazz เพราะๆ ให้ฟังกันสบายๆริมทะเลสาบอีกด้วย

แม้จะไม่มีโอกาสได้มาเยือนที่นี่บ่อยนัก ตลาด บอง มาเช ก็นับเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจในวันหยุดที่ผมชอบมากแห่งนี้

แต่ทุกครั้งที่ผมมาที่นี่ ลมฟ้าอากาศจะสดใส ไม่เคยมีสักครั้งที่จะมีฝนตกลงมาหนักเหมือนวันนี้

.........

พ่อ แม่ และผมไปถึงที่นั่นตอนบ่ายโมงกว่า พวกเราหิวกันมาก เลยตรงไปที่โซนขายอาหารก่อนเป็นอันดับแรก

หลังจากพ่อผมเลือกหาโต๊ะนั่งได้ตัวหนึ่งที่ริมทะเลสาบ พ่อและแม่ก็เดินออกไปหาซื้ออาหาร

ส่วนตัวผมก็นั่งลงที่ตรงนั้น สายตาผมเหม่อมองจ้องจดไปที่โต๊ะสีขาวตัวหนึ่งที่อยู่ถัดไปไม่ไกลนัก โต๊ะตัวนั้นมีเก้าอี้พลาสติกสีขาวสี่ตัวล้อมรอบ

วันหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้... “ผม” และ “เธอ” เคยนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวนั้น...

ท่ามกลางสายฝนที่ยังคงตกลงมาอย่างหนัก ใจผมเริ่มล่องลอยออกไป... ลอยไป... ลอยไป... ลอยกลับไปยังอดีตที่ไม่เคยเลือนหายไป...

อดีต... ที่คงไม่มีวันหวนกลับคืนมา...

.........

ที่นี่ในวันนั้นแตกต่างจากที่นี่ในวันนี้...

วันนั้น เป็นวันที่อากาศสดใส ไม่มีพายุฝนเช่นวันนี้

วันนั้น ความรู้สึกของผมไม่เหมือนในวันนี้

ความรู้สึกของเธอก็เช่นกัน... วันนั้น มันแตกต่างจากในวันนี้

วันนั้น ผมไม่เห็นคุณค่าและความหมายของสิ่งที่ผมควรจะเห็น... วันนี้ ผมเพิ่งจะมาเห็นคุณค่าและความหมายของสิ่งนั้น

วันนั้น ผมมีโอกาส แต่เลือกที่จะไม่ไขว่คว้ามัน... วันนี้ ผมเฝ้ามองหาโอกาสนั้น แต่มันไม่มีอีกแล้ว

.........

ฝนตกหนักขึ้นกว่าเดิม...

ผมนั่งคิดถึงภาพเหตุการณ์ในวันนั้น พร้อมกับฮัมเพลง “รักที่เพิ่งผ่านพ้นไป” ของ Groove Rider แข่งกับเสียงสายฝนที่ตกกระทบพื้น...

“เคยนั่งตรงนี้ เก้าอี้ตัวนี้ อยู่ข้างๆเธอ
เป็นที่ประจำ ที่เธอและฉัน จะนัดกันเสมอ
แต่วันนี้ ที่เดิมตรงนี้ ที่ฉันได้เจอ
ทุกอย่างคงเดิม บรรยากาศเดิมๆ แต่ไม่มีเธอ...”

“ดนตรี... นั้นเล่นอยู่...
ฟัง... ฉันฟังอยู่...
แต่ว่าในใจนั้นเงียบงัน
มีแต่เสียงเพลงที่ว่างเปล่า
จบลงแล้วความรักของเรา
ไม่มีเขาเคียงข้างอีกแล้ว ไม่มีคืนวันที่สดใส
ดื่มให้ตัวเองอีกที กับรักที่เพิ่งผ่านพันไป...”

ไม่รู้ทำไม สายฝนถึงทำให้ผมรู้สึกหนาบเหน็บไปถึงขั้วหัวใจได้เช่นนี้

ไม่รู้ทำไม หัวใจผมถึงได้สั่นไหว พร้อมๆกับน้ำตาที่ไหลซึมออกมา...

.........

สายฝนเริ่มโปรยปรายลง...

แปลก – ทั้งที่น้ำตายังคงไหลซึม ผมกลับอมยิ้มได้

ผมยังคงใคร่ครวญคิดถึงภาพในวันนั้น...

ความรู้สึกอบอุ่นสุขใจพัดผ่านเข้ามาโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่ความหม่นหมองและอ่อนไหวในใจก็ยังคงอยู่

เกิดเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก... ไม่รู้ว่าดีหรือร้าย ไม่รู้ว่าดีใจหรือเสียใจ ไม่รู้ว่าสุขหรือทุกข์

เป็นอารมณ์ผสมผสาน คลับคล้ายกับบรรยากาศของสายฝนที่กำลังโปรยปราย...

สายฝนที่โปรยปรายลงมา... นำความอึมครึมหม่นหมองมาให้... แต่พร้อมกันนั้น มันก็นำความสดชื่นเย็นสบายมาให้หัวใจผมเช่นกัน

.........

ฝนหยุดแล้ว...

ไม่มีแสงแดดแผดส่องอย่างที่หวัง ฟ้าหลังฝนยังคงถูกปิดบังด้วยมวลเมฆ

บรรยากาศยังคงอึมครึม แต่ความเย็นฉ่ำสดชื่นยังคงอยู่

น้ำตาไม่ได้เล็ดไหลออกมาแล้ว...

ไม่มีเสียงหัวเราะหรือความสุขที่อยากมี ความหม่นหมองยังคงปกคลุมจิตใจของผม

หัวใจของผมยังคงอึมครึม แต่ถึงกระนั้น ความอบอุ่นอิ่มใจก็ยังไม่ได้หายไปไหนเลย

.........

วันเปลี่ยน เวลาเปลี่ยน อากาศเปลี่ยน คนเปลี่ยน

“เธอ” เปลี่ยน... “ผม” ก็เปลี่ยน

วันนี้ “อะไรๆ” เปลี่ยนแปลงไปมากมาย

แต่ทั้งๆที่รู้ ว่าควรจะยอมรับและปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงนั้น บางครั้ง ผมก็ห้ามใจไม่ได้...

บางครั้ง ผมยังคงยึดติดและหวนคิดถึงภาพเหตุการณ์แต่ละฉากแต่ละตอนในช่วงเวลาก่อนที่ “อะไรๆ” มันจะเปลี่ยนไป...

เมื่อหวนคิดถึงภาพเหล่านั้น...

บางที พายุฝนก็พัดเข้ามาถล่มให้หัวใจรู้สึกทรมานเกินทน

บางที สายฝนโปรยปรายและฟ้าหลังฝนก็เข้ามาสร้างความสดชื่นปนขมขื่นให้หัวใจ

จะมีไหมวันไหนมั้ย ที่ผมจะหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต โดยที่หัวใจไม่ต้องเผชิญกับสายฝน... ให้ท้องฟ้าในหัวใจผมสดใสไม่อึมครึม

แต่จะว่าไปแล้ว ผมก็ไม่แน่ใจนักว่าความสดใสที่ปราศจากสายฝนจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

ผมคิดถึงวันเวลาที่ผ่านมา แต่ผมไม่ได้อยากให้วันเวลาเหล่านั้นหวนกลับมา

ผมแค่อยากได้ “โอกาส” ที่จะทำให้วันนี้ดีเหมือน (หรือดีกว่า) วันนั้น

แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็คิดว่าผมไม่ควรได้รับ “โอกาส” ที่ผมใฝ่หานั้นเสียทีเดียวนัก

สรุปแล้ว ผมยังคงไม่แน่ใจว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี

ผมไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรต่อไป ผมไม่รู้ว่าจะจบเรื่องนี้ยังไง ผมไม่รู้จริงๆ

อาจบางที - ไม่รู้ดีหรือไม่ - ผมควรจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่มัน “ควรจะ” เป็น ตามความรู้สึก ตามสภาพการณ์ ตามโชคชะตาพรหมลิขิต ตามทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง...

แม้มันจะยากเย็นและเจ็บปวด แต่การปล่อยให้สิ่งต่างๆเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น คงจะเป็นสิ่งที่ผมควรจะทำ... เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ผมจะทำได้ในตอนนี้

เพื่อ “ผม” เพื่อ “เธอ” และเพื่อ “เขา”

ด้วยความรักและเคารพต่อกันและกันระหว่าง “เรา”... ผมจะต้องทำให้ได้

Wednesday, April 04, 2007

เกณฑ์ทหาร

เมื่อวานซืน ผมตื่นแต่เช้าตรู่ เดินทางไปยังโรงเรียนวัดตลิ่งชัน เพื่อเข้ารับการเกณฑ์ทหาร

ผมไม่ได้เรียน ร.ด. เพราะตอน ม.ปลาย ไปเรียนที่สิงคโปร์ ส่วนตอนเรียนมหาลัยก็ไม่อยากเสียเวลาเรียน ร.ด. ทุกอาทิตย์

ผลก็คือ ผมต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร

ที่ผ่านมา ช่วงที่เรียนมหาลัย ผมก็ผ่อนผันมาเรื่อยๆ จนปีนี้เรียนจบแล้ว หมดสิทธิ์ผ่อนผัน เลยเข้ารับการตรวจเลือก

.........

ผมไปถึงที่โรงเรียนวัดตลิ่งชันตอนเจ็ดโมงเช้าตามเวลาที่ระบุในหมายเรียก

คนเยอะมากๆ เลยครับ (ผมรู้ที่หลังว่ามีคนมาเข้ารับการเกณฑ์ทหารที่เขตนี้ถึง 1,044 คน) แต่ละคนก็มีพ่อแม่พี่น้องยกขบวนกันมาให้กำลังใจกัน ทำให้บรรยากาศคึกคักมาก

หลังจากเหล่าทหารกองเกินเข้าแถวเคารพธงชาติตอนเจ็ดโมงเสร็จ นายทหารผู้รับผิดชอบการตรวจเลือกก็ชี้แจงขั้นตอนกระบวนการต่างๆ ให้ฟัง พร้อมทั้งย้ำว่า เจ้าหน้าที่จะดำเนินการให้รวดเร็วที่สุด เพราะปีที่แล้วกว่าการเกณฑ์ทหารจะเสร็จสิ้นก็ปาเข้าไปห้าทุ่มกว่า ปีนี้หวังว่าจะเร็วขึ้น (ฟังแล้วท้อเลยครับ)

สรุปง่ายๆ คือ ทหารกองเกินทุกคนต้องรายงานตัวเพื่อตรวจสุขภาพ วัดรอบอก และวัดส่วนสูง โดยทางเจ้าหน้าที่จะเรียกมารายงานตัวทีละแขวง

ขั้นตอนเป็นไปอย่างเชี่องช้า... ผมนั่งรอๆๆ จนประมาณสิบโมงก็ถึงคราวของแขวงของผม

รายงานตัว... แสดงเอกสารให้เจ้าหน้าที่... เข้าไปให้แพทย์ทหารตรวจสุขภาพ (จริงๆคือเรายื่นแขนตรง สบตาหมอ ให้หมอฟังหัวใจประมาณสามวินาที) แล้วก็วัดส่วนสูง วัดรอบอก...

ผมเสร็จสิ้นกระบวนการนี้ตอนสิบเอ็ดโมงตรง เจ้าหน้าที่บอกว่าให้รออยู่ในบริเวณโรงเรียน ต้องรอให้ทหารทกองเกินทุกคนจากทุกแขวงผ่านกระบวนการข้างต้นให้หมดก่อน แล้วจะเรียกมารวมกัน...

ผมคาดคะเนเอาว่า ทุกคนน่าจะรายงานตัวและตรวจวัดต่างๆ เสร็จตอน 4-5 โมงเย็น...

ผมก็หาอะไรกินแถวนั้น มีแม่ค้ารถเข็นมาขายอาหารและเครื่องดื่มมากมาย (วันนั้นขายดีมากๆ)...

.........

นั่งรอ ยืนรอ เดินรอ งีบหลับรอ...

อยากบอกว่าตอนรอนี่ไม่ใช่สบายนะครับ อากาศก็ร้อน เก้าอี้ภายในเต๊นท์ก็มีเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับจำนวนคน ทำให้แต่ละคนต้องหาที่นั่งของตนเอาเอง ตามฟุตบาท ตามขอบรั้ว ตามม้านั่ง และตามพื้นลานสนามบาสที่พอจะมีเงาต้นไม้กันแดดกันร้อน...

สามโมงก็แล้ว สี่โมงก็แล้ว ห้าโมงก็แล้ว หกโมงก็แล้ว... ยังไม่มีวี่แววว่าจะเสร็จ...

ไปกินข้าวเย็นที่แม่ค้าเจ้าเดิมในซอยข้างๆ โรงเรียน (แต่กับข้าวเปลี่ยนไปแล้วนะ)

ระหว่างกินอยู่ดีๆ ปรากฎว่ามีคนวิ่งตื่นตระหนกออกมาจากท้ายซอย มองไปก็เห็นวัยรุ่น 3-4 คนกำลังรุบอัดวัยรุ่นอีกคนนึงอยู่

ผมกับพ่อรีบลุกออกจากโต๊ะออกมาที่ปากซอย เพราะวัยรุ่นตีกันนี่น่ากลัว เกิดพวกนั้นมีมีดมีปืน แล้วเราดวงซวยอาจโดนลูกหลงเอาได้ง่ายๆ

ระหว่างนั้น มีวัยรุ่นอีก 2-3 คนวิ่งเข้ามาสมทบ ผมเห็นคนนึงคว้าขวดน้ำปลาจากร้านอาหารเตรียมเอาไปเป็นอาวุธ...

ดีว่าเรื่องไม่ได้บานปลาย ทหารเข้ามาควบคุมสถานการณ์ไว้ได้...

ผมกับพ่อกลับไปกินข้าวต่อ คุยกับแม่ค้าได้ความว่า มีตีกันทุกปี ปีก่อนมีมีดมีดาบด้วย... ฟังแล้วรู้สึกท้อแท้กับสังคมไทยจริงๆ

ทุ่มนึงผ่านไป สองทุ่ม สามทุ่ม สี่ทุ่ม... ยังไม่มีวี่แววว่าจะเสร็จ...

ผมและคนอีกมากมายก็ได้แต่นั่งรอยืนรอต่อไปโดยปริยาย...

.........


เกือบเที่ยงคืน...

ทหารกองเกินทุกคนผ่านขั้นตอนเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่เลยเรียกทุกคนไปนั่งรวมกันที่ลานสนามบาส...

แล้วก็ปล่อยให้เรารอไปอีก โดยบอกว่ากำลังอยู่ระหว่างทำบัญชีอยู่...

เกือบตีหนึ่ง...

นายทหารก็ออกมาประกาศว่า สรุปแล้ว วันนี้มีผู้มาเข้ารับการเกณฑ์ทหาร 1,044 คน มีต้องการเป็นทหารโดยสมัครใจ 100 กว่าคน ซึ่งมากกว่าจำนวนที่เขตนี้รับคือ 70 คน...

ทุกคนปรบมือเฮ... เพราะนั่นแปลว่า 1,044 คนผ่านการเกณฑ์ทหารไปโดยอัตโนมัติ...

กว่าจะรอรับใบ ส.ด.43 เสร็จก็ปาเข้าไปตีหนึ่ง... กลับถึงบ้านเกือบตีสอง... รุ่งขึ้นตื่นเช้าไปทำงาน...

.........

ถามว่าผมได้ประสบการณ์อะไรบ้างจากการเกณฑ์ทหารครั้งนี้

เรื่องแรกเลย ได้เห็นและเข้าใจกระบวนการเกณฑ์ทหาร เข้าใจว่ากระบวนการ "กิน" ของทหารเป็นยังไง เข้าใจว่าทำไมเรื่องเกณฑ์ทหารถึงเป็นแหล่งรายได้สำคัญแหล่งหนึ่งของเหล่าทหาร...

อีกเรื่องคือ ได้เห็นความเชื่องช้าไร้ประสิทธิภาพของกระบวนการเกณฑ์ทหาร... ดูเหมือนว่าทหารจะไม่ได้สนใจทหารกองเกินที่มาเกณฑ์ทหารและญาติๆเลย... ไม่สนใจที่จะพัฒนาระบบบริหารจัดการการเกณฑ์ทหารเลย ทั้งๆที่ทำมาทุกปีเป็นงาน routine แท้ๆ...

มาเกณฑ์ทหารแล้ว ผมคิดอยากศึกษาวิจัยเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยใช้กรอบเศรษฐศาสตร์การเมือง/สถาบัน ดูว่าทำไมและเพราะอะไรกันแน่ ระบบการเกณฑ์ทหารมันถึงเป็นอยู่อย่างที่มันเป็น แล้วที่มันเป็นนี่มัน optimal หรือเปล่าสำหรับประเทศไทย... ใครคือคนที่ได้ประโยชน์จากระบบ และมันจะมีวิธีใดไหมที่จะทำให้ระบบมันดีและมีประสิทธิภาพมากกว่านี้...

เห็นการเกณฑ์ทหารแล้ว ผมอดห่วงอนาคตประเทศชาติไม่ได้...

อยากจะตะโกนดังๆออกไปว่า ถ้างานง่ายๆแค่นี้ยังบริหารจัดการไม่ได้ ก็อย่าไปยุ่งเรื่องบริหารจัดการประเทศเหมือนทุกวันนี้เลยเถอะคร้าบ... คุณทหาร...