ผมกำลังอยู่ในช่วงสับสนของชีวิต คงเหมือนกับบัณฑิตใหม่หลายๆ คนที่ยังไม่รู้ตัวเองว่าเราต้องการอะไร ชอบทำงานอะไร ไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรดีกับชีวิต ไม่แน่ใจว่าเลือกเดินไปทางไหน จะเรียนต่อหรือจะทำงานก่อนดี แล้วถ้าเรียนต่อ จะเรียนอะไร เรียนด้านไหน ที่ไหน เมื่อไหร่ จำเป็นต้องเรียนถึงปริญญาเอกไหม เรียนจบจะทำอะไร หรือถ้าจะทำงาน จะทำที่ไหนดี ทำนานแค่ไหนดี ฯลฯ
บางที ผมก็คิดว่าทำงานก่อนสักปีสองปีก็ดีนะ ทำให้เข้าใจโลกความเป็นจริงมากขึ้น ทำให้เห็นภาพของสังคมการทำงาน และทำให้รู้ว่าเราควรเรียนต่อด้านไหน เวลาไปเรียนต่อจะเข้าใจในสิ่งที่เรียนได้มากขึ้น รู้ว่าเรียนมาแล้วเอามาทำประโยชน์อะไรได้ แต่พอเห็นเพื่อนๆ บางคนไปเรียนต่อเลย ผมก็อิจฉาอยากไปเรียนบ้าง ไปเรียนโปรแกรมที่กว้างๆ (เช่นโปรแกรมของ SIPA, SAIS) ให้เสร็จๆ ไปแล้วค่อยกลับมาทำงานมาเรียนรู้งานทีหลัง ถ้าไปเรียนช้า กว่าจะจบก็อาจจะเริ่มมีอายุแล้ว
ทางเลือกมีหลายทาง แถมยังมีข้อจำกัดต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องอีก (โดยเฉพาะข้อจำกัดด้านการเงิน) และบางทีข้อจำกัดพวกนี้มันก็มาขัดกับความต้องการของตัวเราอีก ทำเอาปวดหัวเหมือนกัน แต่ผมก็คิดในแง่ดีว่าเรายังดีกว่าใครอีกหลายๆ คนที่มีทางเลือกน้อยหรือไม่มีทางเลือกเลยนะ
อืม... บล็อกนี้มีแต่บ่นแฮะ ต้องขอโทษอย่างยิ่งนะครับ คือบางทีผมรู้สึกว่าการได้เขียนระบายความสับสนในหัวออกมา มันทำให้เราเห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้น เข้าใจความคิดตัวเองมากขึ้น ไม่รู้ว่าท่านอื่นๆ เป็นเหมือนกันหรือเปล่า?
ผมคงทำงานดูก่อนสักปีสองปีล่ะครับ ค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบและสนใจจริงๆ ให้เจอก่อนแล้วค่อยไปเรียนต่อ แต่ถ้าเกิดมีโอกาสได้ทุนไปเรียนต่อเลยทันที ก็คงต้องรับทุนไปเรียนต่อเลย
ผมยอมรับว่าแอบอิจฉาคนที่มีเงินทุนไปเรียนต่อได้เองจัง แต่ไม่ได้ว่าหรือมีอคติอะไรนะครับ แค่รู้สึกว่าถึงแม้เงินจะซื้อความสุขหรือความสำเร็จไม่ได้ แต่เงินก็ซื้อ “โอกาส” ได้ เงินทำให้เราสามารถกำหนดจังหวะก้าวของชีวิตได้ง่ายและตรงกับความต้องการของตัวเราได้มากขึ้น
ที่เขียนมานี่คือไม่ได้คิดมากนะครับ มันเป็นความรู้สึกที่แว่บเข้ามาในหัว ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว เราก็ตั้งใจทำตัวเราเองให้ดีที่สุดในทุกๆ เรื่องไป ตามข้อจำกัดของชีวิตเรา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมา ก็ให้ยอมรับและปรับตัวไปกับมัน
ผมนึกถึงคำพูดของปราชญ์ท่านหนึ่ง (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นคำพูดของท่านอาจารย์พุทธทาส) ท่านสอนไว้ว่า ทำอะไรขอให้ทำให้ดีที่สุด แล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมา ก็ให้คิดซะว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง”
ทั้งหมดนั้นก็คือความสับสนในช่วงชีวิตตอนนี้ของผม ต่อมาขอว่าถึงเรื่องความเสียดายนะครับ
เรื่องของเรื่องก็คือ หลังจากเรียนจบและเริ่มทำงาน ผมรู้สึกเสียดายอะไรหลายๆอย่างที่ผมไม่ได้ทำในช่วงเวลาที่ผมเรียนที่บีอี
อย่างแรกที่ผมเสียดายมากๆ คือการที่ผมไม่ได้ไปเข้าค่ายอาสาพัฒนาชนบท ซึ่งผมมีโอกาสเลือกที่จะไป แต่ผมดันเลือกที่จะไม่ไป ผมมักยกเหตุผลต่างๆนานามาอ้าง เช่น “ช่วงนั้นต้องทำวารสารยุ่งมากๆ วารสารจะต้องออกแล้ว คงไปค่ายไม่ได้หรอก” และ “เฮ้ย ปิดเทอมทั้งทีขอพักเหอะ เรียนมาทั้งเทอมแล้ว เหนื่อยอ่า ขอพักเที่ยวๆ เล่นๆ อยู่ในกรุงได้ไหม”
ตอนนั้น อดีตแฟนผมพยายามชวนหลายครั้ง บอกว่าควรจะไปนะ ถ้าไม่ไปจะมาเสียดายทีหลังก็ทำอะไรไม่ได้นะ ซึ่งจริงๆ แล้วผมก็อยากไป แต่ความขี้เกียจและความอยากสบายมันดันชนะความอยากออกไปเรียนรู้ของผม ตอนนี้ พอทำงานแล้ว ชีวิตมีข้อจำกัดต่างๆ มากขึ้น โอกาสที่เราจะได้ไปหาประสบการณ์ออกค่ายลุยๆ แบบนั้น ถึงจะมีอยู่แต่มันก็มีน้อยนิดเหลือเกิน จนผมต้องมาบ่นให้ฟังนี่แหละครับ... บางทีคิดๆดูก็น่าขันที่ผมเคยไปออกค่ายถึงกลางป่าแอฟริกาใต้ แต่กลับไม่เคยไปสัมผัสกับชนบทไทยแบบจริงๆจังๆเลยสักครั้ง...
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมเสียดายมากเช่นกัน คือการที่ผมไม่ได้ร่วมกิจกรรมทำละคอนเวทีของบีอีอย่างจริงๆจังๆเลย (ข้ออ้างของผมก็คล้ายๆเดิมนั่นแหละครับ)
ผมไม่เคยเป็นสตาฟฟ์ละคอน มากที่สุดที่ทำคือช่วยทำคัทเอาท์บ้าง ช่วยจัดฉากติดป้ายอะไรเล็กๆน้อยๆ ช่วยติวไมโครให้น้องๆ และติว 460 ให้เพื่อนๆ แต่ทั้งหมดนั้นถือว่าน้อยมากๆ
ผมเสียดายโอกาสที่จะได้ทำงานร่วมกับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆในวงกว้าง เสียดายโอกาสที่จะมีช่วงเวลาที่เพื่อนๆหลายคนมี เช่น การได้ไปทำงานที่บ้านเพื่อนตอนกลางคืนจนดึกดื่นหรือค้างคืนไปเลย การซ้อมหรือทำฉากที่มหาลัยจนดึกดื่น บางคนหอบข้าวของมาค้างที่มหาลัยด้วยเลย
ผมเสียดายช่วงเวลาเหล่านี้ ซึ่งถึงแม้งานจะเยอะจะยากจะเหนื่อยอย่างไร ถึงแม้จะมีการทะเลาะขัดแย้งกันบ้าง ผมก็รู้ว่ามันต้องเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสุข เป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าในความทรงจำของเพื่อนๆทุกคนอย่างแน่นอน
------------------------------------------
ผมรู้ว่าทั้งหมดนี้มันเป็นอดีตที่ผมไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ แต่ที่มานั่งตัดพ้อบ่นถึงอดีตในบล็อกนี้ ลึกๆแล้วผมคงอยากจะเตือนตัวเองให้เรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียดายแบบนี้อีกในอนาคต และขอฝากเรื่องนี้ไว้เป็นข้อคิดให้รุ่นน้องๆที่มีโอกาสทำกิจกรรมอะไรต่างๆนั้น รีบไขว่คว้าโอกาสนั้นไว้เถอะครับ อย่าให้ต้องมานั่งเสียดายโอกาสที่ปล่อยให้หลุดลอยไปในภายหลังนะครับ...
"ออกไปมองฟ้าและน้ำที่กว้างใหญ่
ให้ได้กลิ่นดินที่ลมนั้นพัดเข้ามาจากสุดไกลตา
โลกอันกว้างใหญ่ เรามันแค่ใคร...
ออกไปมองฟ้าและน้ำที่กว้างใหญ่
ให้ได้กลิ่นดินที่ลมนั้นพัดเข้ามาจากสุดปลายฟ้า
โลกอันกว้างใหญ่ เลือกทางที่ไปของเธอ..."
You only have ONE life. Live it to the fullest!
3 comments:
ชีวิตอย่างนี้ล่ะครับ ทุกการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ คนรัก มิตรสหาย หลักการ/อุดมการณ์ ไม่ได้ง่ายดายนัก
ในฐานะที่พี่ เคยผ่านการตัดสินใจสำคัญในชีวิตมาก่อน ขอแนะนำสั้นๆ ว่าสิ่งสำคัญที่สุดในการตัดสินใจ ไม่ใช่ทางเลือกในการตัดสินใจ หากแต่เป็นสิ่งที่เตรียมการรองรับในผลของการตัดสินใจของเราต่างหาก สิ่งนั้นคือ สติ และ ความอดทน
สติ และ ความอดทน ไม่ได้มาจากการเรียนหนังสือ หากแต่มาจากการเลือกตัดสินใจในโลกนอกมหาวิทยาลัย ทั้งทางที่ผิดและที่ถูก จนกลั่นออกมาเป็นสิ่งที่เรียกว่า "ประสบการณ์"
ประสบการณ์ล้ำค่าบางด้าน ต้องแลกมาด้วยการประสบจริงๆ
พี่ขอให้น้องโชคดี
ลึกๆ แล้ว ในความรู้สึกที่ซ่อนเร้น แต่ละคนล้วนเก็บซุก "ความเสียดาย" ไว้ภายใน
ใช่! มันเป็นสิ่งที่แก้ไขอะไรไม่ได้ แต่มันคือสิ่งที่ย้ำเตือนไม่ให้เรา หวนกลับไปทำความผิดสิ่งนั้น ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า
แต่ก็นั่นแหละ ก็อย่างที่เขาพูดกัน ไม่บ่อยครั้ง ที่เราใช้บทเรียนจากอดีต ให้เกิดประโยชน์ ผมไม่อยากให้สิ่งนั้นเกิดกับคุณ
"I have a life to live and I want to live in the best way possible..."
ขอบคุณค่ะสำหรับข้อมูลดีๆ
Post a Comment