เมื่อวานนี้ ผมนั่งแท็กซี่จากหน้าแบงก์ชาติไปลงแถวตลิ่งชัน
พี่คนขับแท็กซี่คันนั้นชื่อพี่สาคร คุยกันได้ความว่าเป็นคนร้อยเอ็ดโดยกำเนิด เข้ามาขับแท็กซี่ในกรุงเทพได้หลายปีแล้ว แต่ก็ไม่ได้ขับตลอด ช่วงในเป็นฤดูทำนาก็กลับไปทำนาที่บ้าน หมดฤดูทำนาก็เข้ามาขับแท็กซี่
แม้จะได้พบพี่สาครไม่ถึงชั่วโมง ผมสรุปได้ว่าพี่สาครเป็นคนที่รักสงบ พูดจาดีเรียบๆ มีความจริงใจ และที่สำคัญ พี่สาครมีกรอบวิธีการคิด วิธีการมองเหตุการณ์ต่างๆ ที่น่าสนใจ
พี่สาครพูดถึงการโดนตำรวจเรียกเมื่อวันก่อนแถวๆ หน้ามาบุญครอง คือจอดรับผู้โดยสารแป๊บเดียวก็โดนตำรวจเรียก หลังจากต่อรองกับตำรวจเสร็จก็จ่ายค่าปรับไป 50 บาท
พี่สาครพูดทั้งหมดนี้ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่ได้แฝงไปด้วยอารมณ์โกรธเคืองแต่อย่างใด แตกต่างจากแท็กซี่คนอื่นๆ ที่ผมเห็นมา ที่มักจะเล่าถึงการโดนตำรวจเรียกด้วยความโกรธเคือง
ยิ่งกว่านั้น พี่สาครยังพูดต่อว่า “แต่ผมก็เห็นใจตำรวจนะ บางทีก็ทำงานหนัก เหนื่อย บางคนไม่มีน้ำกิน ยืนโบกรถเช้าเย็น กว่าจะเลิกงานก็ต้องรอระบายรถให้หมดก่อน กลับบ้านก็ค่ำแล้ว”
แม้จะโดนเรียกโดนจับหลายครั้ง แต่พี่สาครก็ยังแสดงความเห็นอกเห็นใจตำรวจ ใช้เหตุผลในการวิพากษ์สถานการณ์เป็นกรณีๆไป ไม่ใช่ว่าพอโดนตำรวจจับก็จะเห็นตำรวจเป็นศัตรูหรือเป็นฝ่ายตรงข้ามที่จะต้องด่าต้องเกลียดไปซะทุกเรื่อง
ผมรู้สึกทึ่งในความมีเหตุผล จิตใจที่เปิดกว้าง และการรู้จักทำความเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นของพี่สาครมาก ผมคิดว่าพี่สาครมีเหตุมีผลและมีความเคารพในผู้อื่นมากกว่าผู้นำในสังคมและผู้มีการศึกษาหลายๆคนเสียอีก
ความขัดแย้งต่างๆในสังคมไทย ทั้งเรื่องเล็กไปจนถึงเรื่องใหญ่ สังเกตดีๆจะพบว่ามาจากการยึดถือเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ มีการเล่นพรรคเล่นพวก (เช่น ถ้าคุณอยู่ฝ่ายทักษิณ คุณก็คือศัตรูของผม คุณทำอะไรถือว่าผิดหมด คุณโง่ไปหมด) ใครอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเรา เราก็ด่าเสียๆหายๆ จ้องแต่จะด่าในทุกกรณี ไม่สนใจเหตุผลของอีกฝ่าย
ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ ไม่เชื่อลองสังเกตดูนะครับ ตั้งแต่ในวงสภากาแฟของคนทั่วไป ไปจนถึงระดับนักการเมือง เวลาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องอะไรก็ตาม คนส่วนใหญ่จะเลือกข้างยืนที่ชัดเจน แล้วก็ไม่ค่อยสนใจที่จะทำความเข้าใจคนอื่นที่เห็นต่างจากตัว ไม่สนใจที่จะรับฟังและมักจะมีท่าทีต่อต้านเหตุผลและหลักฐานที่ตรงกันข้ามกับความคิดตน
ผมคิดว่า นี่คือลักษณะของคนไทยที่เป็นตัวถ่วงกระบวนการพัฒนาสังคมของไทยที่สำคัญที่สุด ถ้าสังคมจะขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและสงบสุข เราจำเป็นที่จะต้องสลัดกรอบความคิดแบบนี้ทิ้งไปให้ได้
นี่คือบทเรียนสำคัญที่ผมได้รับจากคนขับแท็กซี่ตัวเล็กๆคนหนึ่ง
Friday, November 03, 2006
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
1 comment:
พีสาคร หรอ อืม.......
หวังว่าคงจะได้เจอกันซักวันนะพี่ อิอิ
Post a Comment