เช้ามืดวันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม 2549 เวลาประมาณตีสาม
ทันทีที่ผู้ตัดสินชาวอาร์เจนติน่าเป่านกหวีดหมดเวลา 90 นาทีที่สนามโอลิมปิก สเตเดียม กรุงเบอร์ลิน ภายในหัวสมองของผมมีภาพความทรงจำของฟุตบอลโลกครั้งก่อนๆปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน พร้อมๆกับความคิดในแง่ร้ายว่า หรือฟุตบอลโลกครั้งนี้อาจจะเป็นอีกครั้งที่ผมจะต้อง “อกหัก” กับทีมอัซซูรี่...
[1]
ฟุตบอลโลกของผมเริ่มต้นขึ้นเมื่อสิบสองปีที่แล้ว ตอนนั้นผมเรียนอยู่ชั้น ป.4 ซึ่งเป็นช่วงที่ผมเพิ่งเริ่มเล่นฟุตบอลอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ ปีนั้นเป็นปีที่มีการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกขึ้นที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งครูประจำชั้นของผม (ชื่อครูบุปผา) ก็ได้ตอบรับกระแสเวิล์ดคัพฟีเวอร์ด้วยการจัดให้มีการทายผลฟุตบอลโลกขึ้นภายในห้องเรียนของเรา โดยผมและเพื่อนๆแต่ละคนต้องเลือกทายทีมชาติหนึ่งทีมที่เราคิดว่าจะเป็นแชมป์โลก ถ้าทายถูกก็มีโอกาสได้รางวัลที่คุณครูเตรียมไว้ให้ ถ้าผมจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะมีรางวัลอยู่ห้าชิ้นด้วยกัน
ตอนนั้น ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเลือกทายและเลือกเชียร์ทีมไหนดี จำได้ว่าเพื่อนๆเกินครึ่งห้องจะเลือกทีมแซมบ้า บราซิลกัน บางคนก็เลือกอาร์เจนติน่า บางคนก็เยอรมัน ผมเองไม่แน่ใจว่าจะเลือกทีมไหนดี เลยไปซื้อหนังสือคู่มือบอลโลกว่าพลิกอ่านดู ก็ทำให้รู้จักทีมต่างๆได้ดีขึ้น สุดท้ายแล้ว ผมก็เลือกเชียร์ทีมชาติอิตาลี ซึ่งในห้องเรียนผมนั้นมีไม่ถึงห้าคนด้วยซ้ำที่เลือกเชียร์ทีมนี้
ทำไมตอนนั้นผมถึงเลือกเชียร์อิตาลี? ผมตอบตามตรง... ผมจำไม่ได้จริงๆ
อาจจะเป็นเพราะสะดุดตากับชุดแข่งสีน้ำเงินสวย อาจเป็นเพราะลีลาการเล่นของไอ้หนุ่มผมเปียคนนั้นผู้มีนามว่า “โรแบร์โต้ บักโจ้” อาจเป็นเพราะผมได้ยินชื่อนักเตะอิตาเลียนแล้วรู้สึกว่ามันเท่และแปลกดี อาจเป็นเพราะผมอยากแตกต่างจากเพื่อนคนอื่นๆที่เลือกทีมอย่างบราซิล อาจเป็นเพราะอิตาลีเป็นหนึ่งในน้อยทีมที่เคยได้แชมป์บอลโลกมาถึงสามสมัย หรืออาจเป็นเพราะทุกๆเหตุผลที่พูดมานี้รวมๆกันก็เป็นได้
เอาเถอะครับ... สุดท้ายแล้วผมก็เลือกเชียร์ทีมอัซซูรี่ (แปลว่า สีน้ำเงิน) และเฝ้าติดตามชมการเล่นของทีมๆนี้ตลอดทุกนัด เอาแค่รอบแรก ผมก็ต้องลุ้นแทบตายกว่าอิตาลีจะผ่านเข้าไปสู่รอบสองได้แบบทุลักทุเล เพราะอิตาลีโชว์ฟอร์มได้ไม่ดีเลย จบรอบแรกนั้นทั้งสี่ทีมในกลุ่มของอิตาลีมีคะแนนเท่ากันทุกทีมคือสี่คะแนน แต่ดูจากประตูได้เสียจะพบว่าอิตาลีอยู่ที่สาม แต่อิตาลีก็ยังได้เข้ารอบในฐานะอันดับสามที่มีคะแนนดีที่สุด (ตอนนั้นฟุตบอลโลกมี 24 ทีมเข้าร่วมแข่งขัน ทำให้ทีมอันดับสามของสองกลุ่มที่มีคะแนนดีที่สุดจะได้ผ่านรอบแรก)
หลังจากผ่านรอบแรกมาได้อย่างกระท่อนกระแท่น อิตาลีภายใต้โค้ชอาริโก้ ซาคคี่ ก็ต้องโคจรมาพบกับ “อินทรีมรกต” ไนจีเรีย ซึ่งโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในรอบแรก ปรากฏว่าอิตาลีอาศัยความเขี้ยวชนะไปด้วยสกอร์ 2-1 โดยยิงประตูชัยได้ในช่วงท้ายเกม (หรือช่วงต่อเวลาพิเศษ ผมไม่แน่ใจ) รอบแปดทีมอิตาลีเจอกับทีมชาติสเปน ปรากฏว่าอิตาลีเฉือนชนะไปได้อีก 2-1 จากประตูชัยของบักโจ้ในช่วงก่อนจะหมดเวลาไม่กี่อึดใจ
ลูกยิงลูกนั้นของบักโจ้ทำให้ผมยิ่งชื่นชอบทีมอัซซูรี่มากขึ้นไปอีก เวลาเตะบอลกับเพื่อนผมก็จะชอบเลียนแบบลีลาการเล่นแบบเขา จนเพื่อนๆพากันเรียกผมว่าบักโจ้ ทำเอาผมปลื้มเอามากๆ
รอบรองฯ อิตาลีเข้าไปพบกับม้ามืดตัวจริงของทัวร์นาเมนต์ นั่นคือ ทีมชาติบัลแกเรีย ซึ่งผ่านแชมป์เก่าเยอรมันมาได้ในรอบแปดทีม บัลแกเรียมีซูเปอร์สตาร์ระดับโลกคือ ฮริสโต้ สตอยคอฟ ซึ่งผมเห็นว่าเขาเป็นสุดยอดอัจฉริยะโลกลูกหนังคนหนึ่งในยุค 1990s ในการเจอกันวันนั้น โรแบร์โต้ บักโจ้ทำสองประตูช่วยให้อิตาลีเอาชนะไปได้ 2-1 ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ ทั้งๆที่เกือบจะตกรอบแรกอยู่รอมร่อ
นัดชิงชนะเลิศ ผมเข้านอนแต่หัวค่ำและตื่นขึ้นมาดูเกมกลางดึก เพราะวันรุ่งขึ้นจะต้องไปโรงเรียน เกมนัดนั้นอิตาลีสู้บราซิลไม่ได้จริงๆ อิตาลีได้แต่ตั้งรับเกือบทั้งเกม มีจังหวะสวนกลับอยู่บ้างแต่ก็น้อยมาก แต่เกมรับของอิตาลีก็ยังเหนียวแน่นสมราคา สามารถยันเกมรุกของบราซิลที่มีทั้งโรมาริโอและเบเบโต้ไว้ได้จนครบ 120 นาที ต้องตัดสินกันด้วยการยิงจุดโทษ
ผลปรากฏว่าอิตาลียิงจุดโทษสู้ทีมแซมบ้าไม่ได้ แพ้ไปในที่สุดหลังจากที่โรแบร์โต้ บักโจ้ ยิงจุดโทษลูกสุดท้ายข้ามคานไปแบบเหลือเชื่อ... ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ น้ำตาไหลซึมออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ผม “อิน” มากๆกับช่วงเวลาแห่งความซึมเศร้าของนักเตะอิตาเลียน โดยเฉพาะกับโรแบร์โต้ บักโจ้ ผู้ซึ่งยืนเท้าเอวอย่างหมดอาลัยและร้องไห้ออกมาหลังพลาดจุดโทษ
อิตาลีแพ้จุดโทษอีกครั้ง หลังจากที่สี่ปีที่แล้วที่อิตาลีเป็นเจ้าภาพ พวกเขาก็แพ้จุดโทษอาร์เจนติน่าในรอบรองชนะเลิศ
ผมร้องไห้ แต่ผมก็ไม่โทษนักเตะอิตาเลียน ผมประทับใจกับการเล่นของบักโจ้และนักเตะอิตาเลียนทุกคนในทัวร์นาเมนต์นั้น ไม่ว่าจะเป็นบาเรซี่, โดนาโดนี่, มัสซาโร่, ดิโน่ บักโจ้, ปายูก้า, อัลแบร์ตินี่, นิโกล่า แบร์ตี้ และคนอื่นๆ
ผมรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งที่พวกเขาทำให้ผมมีช่วงเวลาที่ตื่นเต้น มีช่วงเวลาที่ผมได้ลุ้นระทึกจนใจผมเต้นตุบตุบๆ มีช่วงเวลาแห่งความสุขจากการได้ชัยชนะ มีช่วงเวลาที่ผมได้ “เฮ” ดังๆชนิดที่ทำให้คนอื่นๆในบ้านสะดุ้งตื่นขึ้นมาได้...
ผมขอบคุณทีมชาติอิตาลีและขอบคุณฟุตบอลโลกที่ได้มอบความรู้สึกเหล่านี้ให้กับผม... เป็นความรู้สึกที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน... ถึงแม้ตอนจบจะเต็มไปด้วยความเศร้าจากความพ่ายแพ้ แต่ผมก็บอกกับตัวเองว่า จะตามเชียร์ทีมอิตาลีต่อไป และจะรอวันที่อิตาลีได้ลิ้มรสชัยชนะในที่สุด
[2]
สี่ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก ฟุตบอลโลกปี 1998 จัดขึ้นที่ฝรั่งเศส ปีนี้เป็นปีแรกที่มีทีมเข้าร่วมรอบสุดท้ายมากถึง 32 ทีม ตามนโยบายของโจฮัว ฮาเวาลานจ์ ประธานฟีฟ่าซึ่งต้องการให้ประเทศต่างๆในโลกได้เข้าถึงกีฬาฟุตบอลอย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น ซึ่งจุดนี้ผมเห็นว่าเป็นก้าวสำคัญของฟีฟ่าที่ได้ทำให้เกมฟุตบอลกลายเป็นเกมกีฬาของมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง
ฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นฟุตบอลโลกที่ไม่ประทับใจผมเท่ากับบอลโลกครั้งก่อน อิตาลีทีมรักของผมอยู่ภายใต้การทำทีมของเซซาเร่ มัลดินี่ บิดาของแบ๊กซ้ายระดับตำนานอย่าง เปาโล มัลดินี่ อิตาลีผ่านรอบแรกมาได้ด้วยการเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่ม รอบสองเจอกับนอร์เวย์ ปรากฏว่าเอาชนะไปได้ 1-0 จากลูกยิงของคริสเตียน วิเอรี่ ศูนย์หน้าร่างใหญ่ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงทอปฟอร์ม
รอบแปดทีมสุดท้าย อิตาลีเจอศึกหนักกับเจ้าภาพฝรั่งเศส เกมดำเนินไปอย่างค่อนข้างน่าเบื่อ ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายเปิดเกมบุกได้มากกว่าแต่ก็เจาะแผงหลังอิตาลีไม่ได้ ครบ 120 นาทีต้องดวลจุดโทษตัดสิน
นี่เป็นการดวลจุดโทษตัดสินในฟุตบอลโลกสามครั้งติดต่อกันของอิตาลี สองครั้งที่ผ่านมาอิตาลีแพ้มาทั้งสองครั้ง มาครั้งนี้ผมหวังว่าพวกเขาจะชนะบ้าง แต่แล้วก็เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกกับอิตาลีอีกครั้ง เมื่อพวกเขาพลาดท่าเป็นครั้งที่สามติดต่อกัน ต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านไปในที่สุด...
ฟุตบอลโลกปี 94 และ 98 ซึ่งเป็นฟุตบอลโลกสองสมัยแรกของผม จบลงด้วยความผิดหวัง อิตาลีไม่ได้แพ้ในเกมปกติ แต่แพ้จากการดวลจุดโทษตัดสินทั้งสองครั้ง แต่ผมก็ยังบอกกับตัวเองว่าจะยังตามเชียร์ทีมๆนี้ต่อไปในฟุตบอลโลกครั้งหน้าซึ่งจะจัดขึ้นในทวีปเอเชียเป็นครั้งแรก
[3]
ฟุตบอลโลกปี 2002 เป็นครั้งแรกที่จัดในเอเชียและเป็นครั้งแรกที่มีเจ้าภาพร่วมกันสองประเทศคือ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
อิตาลีปีนี้อยู่ภายใต้การนำของโจวานนี่ ตราปัตโตนี่ โค้ชจอมเก๋าผู้เคยประสบความสำเร็จในระดับสโมสรมามากมาย ก่อนฟุตบอลโลกเริ่มขึ้น ผมไม่มั่นใจเลยว่าอิตาลีจะไปได้ไกลในบอลโลกครั้งนี้ เพราะโดยส่วนตัวแล้วไม่ชอบการทำทีมของตราปัตโตนี่ที่เน้นเกมรับมากจนเกินควร ทั้งๆที่อิตาลีชุดนี้มีนักเตะเทคนิคสูงหลายคนอยู่ในทีม เช่น วิเอรี่, ต๊อตติ และเดล ปิเอโร่
อิตาลีประเดิมสนามนัดแรกอย่างสวยงามด้วยการเอาชนะเอกวาดอร์ไปได้แบบสบายๆ 2-0 ซึ่งทั้งสองลูกเกิดขึ้นในครึ่งแรก อย่างไรก็ตาม ฟอร์มการเล่นในครึ่งหลังของอิตาลีทำให้ผมรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก เพราะเล่นเหมือนไปเรื่อยๆ ไม่ตั้งใจเล่น ไม่ค่อยจะเปิดเกมรุก หรือเวลาเปิดเกมรุกก็มักจะทำได้ไม่ดี จังหวะขาดๆเกินๆอยู่ตลอด
พอมานัดที่สอง อิตาลีต้องพบกับโครเอเชีย ซึ่งนัดนั้นอิตาลีเล่นกันได้แย่มาก และแพ้ไปในที่สุด 1-2 โดยเสียประตูที่สองจากความผิดพลาดของมาร์โก มาเตรัซซี่ ผู้ได้รับการขนามนามว่าเป็น “บ่อน้ำมัน” ในแผงหลังของทีม จากความพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำให้อิตาลีต้องพยายามเก็บชัยชนะให้ได้ในนัดสุดท้ายที่จะพบกับเม็กซิโก ไม่อย่างนั้นก็มีโอกาสสูงที่จะต้องเก็บของกลับบ้านเร็วกว่ากำหนด
นัดสุดท้ายกับเม็กซิโก อิตาลียังเล่นได้ไม่ประทับใจเช่นเดิม โดยโดนเม็กซิโกยิงนำไปก่อนในครึ่งแรก ตอนนั้นอิตาลีต้องการประตูอีกอย่างน้อยหนึ่งลูกเพื่อตีเสมอให้ได้ แล้วไปลุ้นผลอีกคู่ให้โครเอเชียแพ้เอกวาดอร์ ซึ่งปรากฏว่าเดล ปิเอโร่ยิงประตูตีเสมอให้อิตาลีได้สำเร็จในช่วงห้านาทีสุดท้ายก่อนหมดเวลา ส่วนอีกคู่โครเอเชียดันพลาดท่าพ่ายต่อเอกวาดอร์ไป 0-1 ทำให้อิตาลีได้ผ่านเข้ารอบสองไปอย่างทุลักทุเลและไม่น่าประทับใจที่สุด
ในรอบสอง อิตาลีต้องพบกับเจ้าภาพร่วมคือเกาหลีใต้ ซึ่งก่อนเกมผมมองว่าอิตาลีโชคดีมากที่เจอเกาหลีใต้ เพราะเทคนิคและความสามารถเฉพาะตัวของอิตาลีเหนือกว่านักเตะเกาหลีใต้มาก อิตาลีน่าจะผ่านไปได้ ซึ่งอิตาลีก็เกือบจะทำได้สำเร็จ เพราะได้ประตูออกนำไปก่อนจากวิเอรี่ตั้งแต่นาทีที่ 18 แต่หลังจากนั้น อิตาลีมีโอกาสปิดบัญชีตอกฝาโลงเกาหลีใต้แต่ก็ทำไม่ได้ จนเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงนาทีที่ 88 หัวจิตหัวใจของผมก็แทบจะหล่นตุ๊บลงไปอยู่ที่เท้า...
โซล คี เฮียน เติมขึ้นมายิงผ่านมือบุฟฟ่อนเข้าไปชนิดที่ผมและนักเตะอิตาลีทุกคนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ตอนนั้นบรรยากาศภายในสนามมันเหมือนนรกของนักเตะอิตาลีดีๆนี่เอง เพราะแฟนบอลเกาหลีใต้ที่อยู่ในชุดแดงกำลังส่งเสียงโห่ร้องเชียร์ทีมชาติตัวเองอย่างเต็มที่ จะเรียกได้ว่าอย่างบ้าคลั่งก็ได้... ในตอนนั้น กำลังใจของนักเตะอิตาลีต่างก็ตกลงไปมากๆ บางคนดูเหมือนจะเล่นอย่างถอดใจ ไม่มีสมาธิกับเกมเอาเสียเลยในช่วงต่อเวลาพิเศษ
ต่อมาไม่นาน อิตาลีก็ต้องเหลือผู้เล่นเพียงแค่สิบคน เมื่อหัวใจในเกมรุกของทีมอย่างฟรานเชสโก้ ต๊อตติ มาโดนไล่ออกจากสนามอย่างน่าคลืบแคลงใจ ทำให้กำลังใจของนักเตะแดนโสมยิ่งเพิ่มสูงขึ้น พวกเขาวิ่งสู้ฟัดกัดไม่ปล่อยทุกจังหวะ จนอิตาลีเสียศูนย์ แต่อิตาลีเองก็มีโอกาสทำประตูสองสามครั้ง แต่ก็พลาดไปหมด จนมาถึงช่วงเวลานาทีที่ 117 ซึ่งเหลืออีกเพียงสามนาทีเท่านั้นทั้งสองทีมก็จะต้องดวลจุดโทษตัดสินกัน...
เกาหลีใต้ตัดบนได้และทำเกมขึ้นมาทางด้านซ้าย... และโยนด้วยเท้าขวาโค้งเข้ามาในกรอบเขตโทษ... ผมยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ดี... ผมคิดว่าทิศทางของลูกบอลที่พุ่งไปในกรอบเขตโทษช่างดูอันตรายเหลือเกิน ผมกลัวมากว่ามันจะพุ่งไปเข้าหัวนักเตะเกาหลี ตอนนั้นผมเห็น อาห์น จุง วาน กำลังจะเทคตัวแย่งโหม่งกับเปาโล มัลดินี่ กัปตันทีมอิตาลี...
อาห์น จุง วาน เทคตัวได้เหนือกว่ามัลดินี่ และลูกโหม่งของเขาก็พุ่งลงพื้นเข้าเสียบเสาสองของประตูชนิดที่บุฟฟ่อนได้แต่เหลียวหน้ามอง...
นักเตะเกาหลีใต้วิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปที่มุมธง ไม่รู้เอาแรงจากไหนมาวิ่งกัน พวกเขากอดกันกลม และนอนทับอาห์น จุง วาน ฮีโร่ผู้ทำประตูโกลเด้นโกลให้กับทีม ส่วนนักเตะอิตาลีนั้นอยู่ในอารมณ์ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง พวกเขาดูหมดเรี่ยวหมดแรงและซึมเศร้า บางคนนอนแผ่หลาอยู่ในสนาม บางคนนั่งเซ็งหมดอาลัยตายอยาก หลายคนร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย ผมเองก็อยู่ในอารมณ์เดียวกัน...
ฟุตบอลโลกครั้งที่สามของผม จบลงด้วยน้ำตาอีกครั้ง ผมคิดในใจว่า ผมเชียร์ทีมๆนี้มาแปดปีเต็ม ทำไมถึงต้องอกหักซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกนานไหม... ถึงทีมจะแพ้ผมก็ไม่ว่า ถ้าพวกเขาเล่นได้อย่างประทับใจ แต่นี่ฟอร์มการเล่นก็ไม่ดีไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย... ผมแอบคิดว่า หรือเราจะเปลี่ยนทีมเชียร์ดีไหมนะ...
(โปรดติดตามตอนจบ เร็วๆนี้)
Tuesday, July 18, 2006
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
9 comments:
รีบๆเขียนต่อเร็วๆ เขียนดีมากเลยอ่ะ เราไม่เคยสนใจซอกเกอร์เลย แต่อ่านแล้วยังลุ้นๆ เศร้าไปกะอิตาลี่ด้วยเลย (เอ๊ะหรือว่าเราต้องเชียเกาหลี เดี๋ยวเค้าไม่ให้กินกิมจิ) รีบๆเขียนต่อนะ ๕๕๕ ดีจังไม่ต้องตื่นมาดูอดหลับอดนอน อ่านจากที่เอกเขียน ได้บรรยากาศเหมือนอยู่ข้างสนาม ๕๕
อิตาลี เป็นทีมที่ดี เป็นทีมที่ผมเลือกใช้เป็นประจำ เมื่อต้องขึ้นสังเวียนวินนิ่งอีเลเว่น ทั้งๆ ที่ผมเป็นแฟนอินทรีเหล็กอย่างเหนียวแน่น
ความเหนียวแน่นของกองหลัง คือจุดขายของอิตาลีทุกยุคทุกสมัย ประกอบกับนักเตะที่มีเบสิคการเล่นแน่น และแผนการเล่นแบบไม่โฉ่งฉ่าง จึงทำให้อัซซูรี่มักเข้ารอบลึกๆ แบบค้านสายตากรรมการ เสมอๆ
อิตาลีชุด 2002 เป็นทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในสายตาผม (วัดจากชื่อชั้น ความสามารถ และ ความสด ของนักเตะสมัยนั้น) แต่น่าเสียดายที่พวกเขากลับต้องมาเจอเจ้าภาพ เกาหลีที่เก่งในการดึง "ความสามารถ" ของเจ้าภาพมาได้เต็มที่
เห้ย พี่เผลอกดส่งรัวๆ ไปว่ะ โทดที ช่วยลบทีนะๆๆ
ตอนต่อไป คงไม่นานเกินรอนะ
เที่ยวคุณดีใจ ผมอกหัก
อย่างว่า.....ลูกกลมๆ มีแพ้ มีชนะ
มีพาลพาโล 555
นึกว่าน้องจะเขียนอะไร ในทางการเมืองบ้าง เห็นเขียนคอมเม้นท์ได้โดนใจ ในบล๊อก นิติรัฐฯ
Post a Comment