Friday, December 01, 2006
ประกาศ
ตอนนี้โน้ตบุ๊คที่ผมใช้เพิ่งเจ๊งไปครับทุกท่าน... อยู่ดีๆหน้าจอก็หายไปครึ่งหนึ่ง ทำอะไรไม่ได้เลย กำลังส่งซ่อม... ส่วน pc ที่บ้านอ่ะ ก็เจ๊งไปสักพักแล้วเช่นกัน ทำให้ตอนนี้ผมเหมือนถูกตัดขาดจากโลกอินเตอร์เน็ตเวลาอยู่บ้าน จะใช้อะไรก็ใช้ได้ที่ทำงาน ซึ่งคงไม่เหมาะที่จะพิมพ์และอัพบล็อก เพราะฉนั้นช่วงนี้ขอลาจากบล็อกเป็นการชั่วคราวจนกว่าโน้ตบุ๊คผมจะซ่อมเสร็จนะครับ...
Sunday, November 19, 2006
ความเอย...ความรัก
ทำไมคนสองคนถึง “เลิกกัน” ทั้งๆที่เคยรักกัน เคยผ่านประสบการณ์ด้วยกันมามากมาย ภาพความทรงจำของแต่ละคนก็เต็มไปด้วยภาพของอีกคนหนึ่ง…
ทำไมนะ? พวกเขาไม่ “รัก” กันแล้วหรือถึงได้เลิกกัน?
บ่อยครั้ง… จุดเริ่มต้นของความรักมักไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน
บางที… จุดจบของความรักก็อาจจะเป็นแบบนั้นเช่นกัน
สำหรับผม การเลิกกันไม่ใช่จุดจบของความรัก ผมเชื่อว่าความรักและความผูกพันจะยังคงอยู่ในหัวใจของคนสองคนตลอดไป เพียงแต่การแสดงออกมันเปลี่ยนแปลงไป
จากประสบการณ์ของผม ผมได้เรียนรู้ว่า เช่นเดียวกับทุกสิ่งทุกอย่าง ความรักมันไม่แน่นอน วันนี้รักกันอยู่ดีๆ พรุ่งนี้ก็อาจมีบางสิ่งบางอย่างทำให้ความรู้สึกมันเปลี่ยนแปรไป
แต่แม้จะเลิกรากันไป ผมเลือกที่จะเก็บความทรงจำดีๆของเราเอาไว้ในใจเสมอ ผมจะไม่ยอมให้ช่วงเวลาที่ไม่ดีมาบดบังช่วงเวลาดีๆที่เราเคยมี จะไม่ยอมให้เรื่องราวร้ายๆมาครอบงำความรู้สึกดีๆที่เราเคยมีให้กันและกัน
หากผมย้อนเวลากลับไปได้และหยั่งรู้ว่าความรักของเราจะจบลงแบบไม่สมหวังในท้ายที่สุด ผมก็ยังจะเลือกมีความรักนั้นอยู่ดี… อย่างไม่ลังเลเลย…
สำหรับผม สิ่งสำคัญที่สุดในการมีความรัก คือการมีความสุขที่ได้รักคนๆหนึ่ง โดยไม่คาดหวังอะไรจากคนๆนั้น ถ้าเราคาดหวังให้เขารักเราตอบ เราจะมีความทุกข์ใจ ซึ่งมันจะมาบั่นทอนความสุขที่เราควรได้รับจากการรักคนๆนั้น
แน่นอน เราอาจ “หวัง” ว่าคนที่เรารักจะรักเรา แต่เราไม่ควร “คาดหวัง”
ความรักที่สมบูรณ์แบบไม่จำเป็นต้องเป็นรักสองฝ่าย; “ความรักข้างเดียว” หรือ “ความรักที่ไม่สมหวัง” ก็เป็นความรักที่สมบูรณ์แบบในตัวมันได้ ถ้าเราเลือกที่จะมองอย่างนั้น
การได้รัก ได้ห่วง ได้คิดถึง ได้รับฟัง ได้ช่วยเหลือใครสักคน ก็เป็นความสุขในตัวของมันเองแล้วมิใช่หรือ? การได้มีช่วงเวลาดีๆกับใครสักคนที่รู้ใจกันและกัน แม้เป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ก็เป็นความสุขในตัวของมันเองแล้วมิใช่หรือ?
ทุกอย่างอยู่ที่เราเลือกจะคิด เลือกจะมอง…
“อย่าร้องไห้ อย่าเสียใจ กับความรักที่จบลงอย่างไม่เป็นดั่งหวังเลย ให้รู้สึกว่าเราโชคดีแล้วที่ได้มีโอกาสมารักและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน” ผมอยากจะบอกเธอและบอกกับตัวเองเช่นนี้…
แม้บางครั้งมันจะเป็นรักข้างเดียว แม้บางครั้งมันจะนำมาซึ่งน้ำตา แม้บางครั้งมันจะไม่คงอยู่ตลอดไป… แต่ความรักก็สวยงามและมีคุณค่าในตัวมันเองเสมอ
ผมเชื่อเช่นนั้น
ทำไมนะ? พวกเขาไม่ “รัก” กันแล้วหรือถึงได้เลิกกัน?
บ่อยครั้ง… จุดเริ่มต้นของความรักมักไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน
บางที… จุดจบของความรักก็อาจจะเป็นแบบนั้นเช่นกัน
สำหรับผม การเลิกกันไม่ใช่จุดจบของความรัก ผมเชื่อว่าความรักและความผูกพันจะยังคงอยู่ในหัวใจของคนสองคนตลอดไป เพียงแต่การแสดงออกมันเปลี่ยนแปลงไป
จากประสบการณ์ของผม ผมได้เรียนรู้ว่า เช่นเดียวกับทุกสิ่งทุกอย่าง ความรักมันไม่แน่นอน วันนี้รักกันอยู่ดีๆ พรุ่งนี้ก็อาจมีบางสิ่งบางอย่างทำให้ความรู้สึกมันเปลี่ยนแปรไป
แต่แม้จะเลิกรากันไป ผมเลือกที่จะเก็บความทรงจำดีๆของเราเอาไว้ในใจเสมอ ผมจะไม่ยอมให้ช่วงเวลาที่ไม่ดีมาบดบังช่วงเวลาดีๆที่เราเคยมี จะไม่ยอมให้เรื่องราวร้ายๆมาครอบงำความรู้สึกดีๆที่เราเคยมีให้กันและกัน
หากผมย้อนเวลากลับไปได้และหยั่งรู้ว่าความรักของเราจะจบลงแบบไม่สมหวังในท้ายที่สุด ผมก็ยังจะเลือกมีความรักนั้นอยู่ดี… อย่างไม่ลังเลเลย…
สำหรับผม สิ่งสำคัญที่สุดในการมีความรัก คือการมีความสุขที่ได้รักคนๆหนึ่ง โดยไม่คาดหวังอะไรจากคนๆนั้น ถ้าเราคาดหวังให้เขารักเราตอบ เราจะมีความทุกข์ใจ ซึ่งมันจะมาบั่นทอนความสุขที่เราควรได้รับจากการรักคนๆนั้น
แน่นอน เราอาจ “หวัง” ว่าคนที่เรารักจะรักเรา แต่เราไม่ควร “คาดหวัง”
ความรักที่สมบูรณ์แบบไม่จำเป็นต้องเป็นรักสองฝ่าย; “ความรักข้างเดียว” หรือ “ความรักที่ไม่สมหวัง” ก็เป็นความรักที่สมบูรณ์แบบในตัวมันได้ ถ้าเราเลือกที่จะมองอย่างนั้น
การได้รัก ได้ห่วง ได้คิดถึง ได้รับฟัง ได้ช่วยเหลือใครสักคน ก็เป็นความสุขในตัวของมันเองแล้วมิใช่หรือ? การได้มีช่วงเวลาดีๆกับใครสักคนที่รู้ใจกันและกัน แม้เป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ก็เป็นความสุขในตัวของมันเองแล้วมิใช่หรือ?
ทุกอย่างอยู่ที่เราเลือกจะคิด เลือกจะมอง…
“อย่าร้องไห้ อย่าเสียใจ กับความรักที่จบลงอย่างไม่เป็นดั่งหวังเลย ให้รู้สึกว่าเราโชคดีแล้วที่ได้มีโอกาสมารักและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน” ผมอยากจะบอกเธอและบอกกับตัวเองเช่นนี้…
แม้บางครั้งมันจะเป็นรักข้างเดียว แม้บางครั้งมันจะนำมาซึ่งน้ำตา แม้บางครั้งมันจะไม่คงอยู่ตลอดไป… แต่ความรักก็สวยงามและมีคุณค่าในตัวมันเองเสมอ
ผมเชื่อเช่นนั้น
Monday, November 13, 2006
I hope you dance
I hope you never lose your sense of wonder
You get your fill to eat but always keep that hunger
May you never take one single breath for granted
God forbid love ever leave you empty handed
I hope you still feel small when you stand beside the ocean
Whenever one door closes, I hope one more opens
Promise me that you'll give faith a fighting chance
And when you get the choice to sit it out or dance...
I hope you dance
I hope you dance
I hope you never fear those mountains in the distance
Never settle for the path of least resistance
Living might mean taking chances but they're worth taking
Lovin' might be a mistake but it's worth making
Don't let some hell bent heart leave you bitter
When you come close to selling out, reconsider
Give the heavens above more than just a passing glance
And when you get the choice to sit it out or dance...
I hope you dance (Time is a real and constant motion always)
I hope you dance (Rolling us along)
I hope you dance (Tell me who)
I hope you dance (Wants to look back on their years and wonder where those years have gone)
(listen to the song at http://www.freedwings.com/dance.html)
You get your fill to eat but always keep that hunger
May you never take one single breath for granted
God forbid love ever leave you empty handed
I hope you still feel small when you stand beside the ocean
Whenever one door closes, I hope one more opens
Promise me that you'll give faith a fighting chance
And when you get the choice to sit it out or dance...
I hope you dance
I hope you dance
I hope you never fear those mountains in the distance
Never settle for the path of least resistance
Living might mean taking chances but they're worth taking
Lovin' might be a mistake but it's worth making
Don't let some hell bent heart leave you bitter
When you come close to selling out, reconsider
Give the heavens above more than just a passing glance
And when you get the choice to sit it out or dance...
I hope you dance (Time is a real and constant motion always)
I hope you dance (Rolling us along)
I hope you dance (Tell me who)
I hope you dance (Wants to look back on their years and wonder where those years have gone)
(listen to the song at http://www.freedwings.com/dance.html)
Saturday, November 11, 2006
Overhead Think
ผมเพิ่งจะเริ่มทำ MSN Space เมื่ออาทิตย์ก่อนครับ
ถ้าว่างๆ ก็ขอเชิญเข้าไปเยี่ยมชมได้นะครับที่ overhead think โดยที่ในสเปซนั้นผมจะลง post สั้นๆ เบาๆ ชิลๆ ไม่ซีเรียส และก็จะเอารูปเวลาไปไหนมาไหนมาลงครับ
ชื่อสเปซอาจจะฟังดูแปลกๆนะครับ เรื่องของเรื่องคือเวลาเตะบอลผมมักอยากจะตีลังกาเตะหรือ overhead kick ให้ได้ แต่มันทำไม่ได้ (อาจเกิดจากเหตุผลด้านสรีระทางกายภาพของผม แฮ่ๆ) เลยเอาเป็นว่าขอตีลังกาคิดหรือ overhead think แทนแล้วกันครับ (ยังไงก็ไม่มีทางติดพุง)
ถ้าว่างๆ ก็ขอเชิญเข้าไปเยี่ยมชมได้นะครับที่ overhead think โดยที่ในสเปซนั้นผมจะลง post สั้นๆ เบาๆ ชิลๆ ไม่ซีเรียส และก็จะเอารูปเวลาไปไหนมาไหนมาลงครับ
ชื่อสเปซอาจจะฟังดูแปลกๆนะครับ เรื่องของเรื่องคือเวลาเตะบอลผมมักอยากจะตีลังกาเตะหรือ overhead kick ให้ได้ แต่มันทำไม่ได้ (อาจเกิดจากเหตุผลด้านสรีระทางกายภาพของผม แฮ่ๆ) เลยเอาเป็นว่าขอตีลังกาคิดหรือ overhead think แทนแล้วกันครับ (ยังไงก็ไม่มีทางติดพุง)
Friday, November 10, 2006
สับสนและเสียดาย
ผมเรียนจบจากโครงการบีอีที่ธรรมศาสตร์มาก็เกือบๆ ครึ่งปีแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงชีวิตที่ลองเข้าทำงานในที่ทำงานจริงๆ เป็นครั้งแรก (ช่วงที่เรียนอยู่ มีปัญหาทางเทคนิคบางประการทำให้ไม่มีโอกาสได้ฝึกงาน)
ผมกำลังอยู่ในช่วงสับสนของชีวิต คงเหมือนกับบัณฑิตใหม่หลายๆ คนที่ยังไม่รู้ตัวเองว่าเราต้องการอะไร ชอบทำงานอะไร ไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรดีกับชีวิต ไม่แน่ใจว่าเลือกเดินไปทางไหน จะเรียนต่อหรือจะทำงานก่อนดี แล้วถ้าเรียนต่อ จะเรียนอะไร เรียนด้านไหน ที่ไหน เมื่อไหร่ จำเป็นต้องเรียนถึงปริญญาเอกไหม เรียนจบจะทำอะไร หรือถ้าจะทำงาน จะทำที่ไหนดี ทำนานแค่ไหนดี ฯลฯ
บางที ผมก็คิดว่าทำงานก่อนสักปีสองปีก็ดีนะ ทำให้เข้าใจโลกความเป็นจริงมากขึ้น ทำให้เห็นภาพของสังคมการทำงาน และทำให้รู้ว่าเราควรเรียนต่อด้านไหน เวลาไปเรียนต่อจะเข้าใจในสิ่งที่เรียนได้มากขึ้น รู้ว่าเรียนมาแล้วเอามาทำประโยชน์อะไรได้ แต่พอเห็นเพื่อนๆ บางคนไปเรียนต่อเลย ผมก็อิจฉาอยากไปเรียนบ้าง ไปเรียนโปรแกรมที่กว้างๆ (เช่นโปรแกรมของ SIPA, SAIS) ให้เสร็จๆ ไปแล้วค่อยกลับมาทำงานมาเรียนรู้งานทีหลัง ถ้าไปเรียนช้า กว่าจะจบก็อาจจะเริ่มมีอายุแล้ว
ทางเลือกมีหลายทาง แถมยังมีข้อจำกัดต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องอีก (โดยเฉพาะข้อจำกัดด้านการเงิน) และบางทีข้อจำกัดพวกนี้มันก็มาขัดกับความต้องการของตัวเราอีก ทำเอาปวดหัวเหมือนกัน แต่ผมก็คิดในแง่ดีว่าเรายังดีกว่าใครอีกหลายๆ คนที่มีทางเลือกน้อยหรือไม่มีทางเลือกเลยนะ
อืม... บล็อกนี้มีแต่บ่นแฮะ ต้องขอโทษอย่างยิ่งนะครับ คือบางทีผมรู้สึกว่าการได้เขียนระบายความสับสนในหัวออกมา มันทำให้เราเห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้น เข้าใจความคิดตัวเองมากขึ้น ไม่รู้ว่าท่านอื่นๆ เป็นเหมือนกันหรือเปล่า?
ผมคงทำงานดูก่อนสักปีสองปีล่ะครับ ค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบและสนใจจริงๆ ให้เจอก่อนแล้วค่อยไปเรียนต่อ แต่ถ้าเกิดมีโอกาสได้ทุนไปเรียนต่อเลยทันที ก็คงต้องรับทุนไปเรียนต่อเลย
ผมยอมรับว่าแอบอิจฉาคนที่มีเงินทุนไปเรียนต่อได้เองจัง แต่ไม่ได้ว่าหรือมีอคติอะไรนะครับ แค่รู้สึกว่าถึงแม้เงินจะซื้อความสุขหรือความสำเร็จไม่ได้ แต่เงินก็ซื้อ “โอกาส” ได้ เงินทำให้เราสามารถกำหนดจังหวะก้าวของชีวิตได้ง่ายและตรงกับความต้องการของตัวเราได้มากขึ้น
ที่เขียนมานี่คือไม่ได้คิดมากนะครับ มันเป็นความรู้สึกที่แว่บเข้ามาในหัว ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว เราก็ตั้งใจทำตัวเราเองให้ดีที่สุดในทุกๆ เรื่องไป ตามข้อจำกัดของชีวิตเรา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมา ก็ให้ยอมรับและปรับตัวไปกับมัน
ผมนึกถึงคำพูดของปราชญ์ท่านหนึ่ง (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นคำพูดของท่านอาจารย์พุทธทาส) ท่านสอนไว้ว่า ทำอะไรขอให้ทำให้ดีที่สุด แล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมา ก็ให้คิดซะว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง”
ทั้งหมดนั้นก็คือความสับสนในช่วงชีวิตตอนนี้ของผม ต่อมาขอว่าถึงเรื่องความเสียดายนะครับ
เรื่องของเรื่องก็คือ หลังจากเรียนจบและเริ่มทำงาน ผมรู้สึกเสียดายอะไรหลายๆอย่างที่ผมไม่ได้ทำในช่วงเวลาที่ผมเรียนที่บีอี
อย่างแรกที่ผมเสียดายมากๆ คือการที่ผมไม่ได้ไปเข้าค่ายอาสาพัฒนาชนบท ซึ่งผมมีโอกาสเลือกที่จะไป แต่ผมดันเลือกที่จะไม่ไป ผมมักยกเหตุผลต่างๆนานามาอ้าง เช่น “ช่วงนั้นต้องทำวารสารยุ่งมากๆ วารสารจะต้องออกแล้ว คงไปค่ายไม่ได้หรอก” และ “เฮ้ย ปิดเทอมทั้งทีขอพักเหอะ เรียนมาทั้งเทอมแล้ว เหนื่อยอ่า ขอพักเที่ยวๆ เล่นๆ อยู่ในกรุงได้ไหม”
ตอนนั้น อดีตแฟนผมพยายามชวนหลายครั้ง บอกว่าควรจะไปนะ ถ้าไม่ไปจะมาเสียดายทีหลังก็ทำอะไรไม่ได้นะ ซึ่งจริงๆ แล้วผมก็อยากไป แต่ความขี้เกียจและความอยากสบายมันดันชนะความอยากออกไปเรียนรู้ของผม ตอนนี้ พอทำงานแล้ว ชีวิตมีข้อจำกัดต่างๆ มากขึ้น โอกาสที่เราจะได้ไปหาประสบการณ์ออกค่ายลุยๆ แบบนั้น ถึงจะมีอยู่แต่มันก็มีน้อยนิดเหลือเกิน จนผมต้องมาบ่นให้ฟังนี่แหละครับ... บางทีคิดๆดูก็น่าขันที่ผมเคยไปออกค่ายถึงกลางป่าแอฟริกาใต้ แต่กลับไม่เคยไปสัมผัสกับชนบทไทยแบบจริงๆจังๆเลยสักครั้ง...
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมเสียดายมากเช่นกัน คือการที่ผมไม่ได้ร่วมกิจกรรมทำละคอนเวทีของบีอีอย่างจริงๆจังๆเลย (ข้ออ้างของผมก็คล้ายๆเดิมนั่นแหละครับ)
ผมไม่เคยเป็นสตาฟฟ์ละคอน มากที่สุดที่ทำคือช่วยทำคัทเอาท์บ้าง ช่วยจัดฉากติดป้ายอะไรเล็กๆน้อยๆ ช่วยติวไมโครให้น้องๆ และติว 460 ให้เพื่อนๆ แต่ทั้งหมดนั้นถือว่าน้อยมากๆ
ผมเสียดายโอกาสที่จะได้ทำงานร่วมกับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆในวงกว้าง เสียดายโอกาสที่จะมีช่วงเวลาที่เพื่อนๆหลายคนมี เช่น การได้ไปทำงานที่บ้านเพื่อนตอนกลางคืนจนดึกดื่นหรือค้างคืนไปเลย การซ้อมหรือทำฉากที่มหาลัยจนดึกดื่น บางคนหอบข้าวของมาค้างที่มหาลัยด้วยเลย
ผมเสียดายช่วงเวลาเหล่านี้ ซึ่งถึงแม้งานจะเยอะจะยากจะเหนื่อยอย่างไร ถึงแม้จะมีการทะเลาะขัดแย้งกันบ้าง ผมก็รู้ว่ามันต้องเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสุข เป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าในความทรงจำของเพื่อนๆทุกคนอย่างแน่นอน
------------------------------------------
ผมรู้ว่าทั้งหมดนี้มันเป็นอดีตที่ผมไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ แต่ที่มานั่งตัดพ้อบ่นถึงอดีตในบล็อกนี้ ลึกๆแล้วผมคงอยากจะเตือนตัวเองให้เรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียดายแบบนี้อีกในอนาคต และขอฝากเรื่องนี้ไว้เป็นข้อคิดให้รุ่นน้องๆที่มีโอกาสทำกิจกรรมอะไรต่างๆนั้น รีบไขว่คว้าโอกาสนั้นไว้เถอะครับ อย่าให้ต้องมานั่งเสียดายโอกาสที่ปล่อยให้หลุดลอยไปในภายหลังนะครับ...
ผมกำลังอยู่ในช่วงสับสนของชีวิต คงเหมือนกับบัณฑิตใหม่หลายๆ คนที่ยังไม่รู้ตัวเองว่าเราต้องการอะไร ชอบทำงานอะไร ไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรดีกับชีวิต ไม่แน่ใจว่าเลือกเดินไปทางไหน จะเรียนต่อหรือจะทำงานก่อนดี แล้วถ้าเรียนต่อ จะเรียนอะไร เรียนด้านไหน ที่ไหน เมื่อไหร่ จำเป็นต้องเรียนถึงปริญญาเอกไหม เรียนจบจะทำอะไร หรือถ้าจะทำงาน จะทำที่ไหนดี ทำนานแค่ไหนดี ฯลฯ
บางที ผมก็คิดว่าทำงานก่อนสักปีสองปีก็ดีนะ ทำให้เข้าใจโลกความเป็นจริงมากขึ้น ทำให้เห็นภาพของสังคมการทำงาน และทำให้รู้ว่าเราควรเรียนต่อด้านไหน เวลาไปเรียนต่อจะเข้าใจในสิ่งที่เรียนได้มากขึ้น รู้ว่าเรียนมาแล้วเอามาทำประโยชน์อะไรได้ แต่พอเห็นเพื่อนๆ บางคนไปเรียนต่อเลย ผมก็อิจฉาอยากไปเรียนบ้าง ไปเรียนโปรแกรมที่กว้างๆ (เช่นโปรแกรมของ SIPA, SAIS) ให้เสร็จๆ ไปแล้วค่อยกลับมาทำงานมาเรียนรู้งานทีหลัง ถ้าไปเรียนช้า กว่าจะจบก็อาจจะเริ่มมีอายุแล้ว
ทางเลือกมีหลายทาง แถมยังมีข้อจำกัดต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องอีก (โดยเฉพาะข้อจำกัดด้านการเงิน) และบางทีข้อจำกัดพวกนี้มันก็มาขัดกับความต้องการของตัวเราอีก ทำเอาปวดหัวเหมือนกัน แต่ผมก็คิดในแง่ดีว่าเรายังดีกว่าใครอีกหลายๆ คนที่มีทางเลือกน้อยหรือไม่มีทางเลือกเลยนะ
อืม... บล็อกนี้มีแต่บ่นแฮะ ต้องขอโทษอย่างยิ่งนะครับ คือบางทีผมรู้สึกว่าการได้เขียนระบายความสับสนในหัวออกมา มันทำให้เราเห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้น เข้าใจความคิดตัวเองมากขึ้น ไม่รู้ว่าท่านอื่นๆ เป็นเหมือนกันหรือเปล่า?
ผมคงทำงานดูก่อนสักปีสองปีล่ะครับ ค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบและสนใจจริงๆ ให้เจอก่อนแล้วค่อยไปเรียนต่อ แต่ถ้าเกิดมีโอกาสได้ทุนไปเรียนต่อเลยทันที ก็คงต้องรับทุนไปเรียนต่อเลย
ผมยอมรับว่าแอบอิจฉาคนที่มีเงินทุนไปเรียนต่อได้เองจัง แต่ไม่ได้ว่าหรือมีอคติอะไรนะครับ แค่รู้สึกว่าถึงแม้เงินจะซื้อความสุขหรือความสำเร็จไม่ได้ แต่เงินก็ซื้อ “โอกาส” ได้ เงินทำให้เราสามารถกำหนดจังหวะก้าวของชีวิตได้ง่ายและตรงกับความต้องการของตัวเราได้มากขึ้น
ที่เขียนมานี่คือไม่ได้คิดมากนะครับ มันเป็นความรู้สึกที่แว่บเข้ามาในหัว ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว เราก็ตั้งใจทำตัวเราเองให้ดีที่สุดในทุกๆ เรื่องไป ตามข้อจำกัดของชีวิตเรา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมา ก็ให้ยอมรับและปรับตัวไปกับมัน
ผมนึกถึงคำพูดของปราชญ์ท่านหนึ่ง (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นคำพูดของท่านอาจารย์พุทธทาส) ท่านสอนไว้ว่า ทำอะไรขอให้ทำให้ดีที่สุด แล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมา ก็ให้คิดซะว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง”
ทั้งหมดนั้นก็คือความสับสนในช่วงชีวิตตอนนี้ของผม ต่อมาขอว่าถึงเรื่องความเสียดายนะครับ
เรื่องของเรื่องก็คือ หลังจากเรียนจบและเริ่มทำงาน ผมรู้สึกเสียดายอะไรหลายๆอย่างที่ผมไม่ได้ทำในช่วงเวลาที่ผมเรียนที่บีอี
อย่างแรกที่ผมเสียดายมากๆ คือการที่ผมไม่ได้ไปเข้าค่ายอาสาพัฒนาชนบท ซึ่งผมมีโอกาสเลือกที่จะไป แต่ผมดันเลือกที่จะไม่ไป ผมมักยกเหตุผลต่างๆนานามาอ้าง เช่น “ช่วงนั้นต้องทำวารสารยุ่งมากๆ วารสารจะต้องออกแล้ว คงไปค่ายไม่ได้หรอก” และ “เฮ้ย ปิดเทอมทั้งทีขอพักเหอะ เรียนมาทั้งเทอมแล้ว เหนื่อยอ่า ขอพักเที่ยวๆ เล่นๆ อยู่ในกรุงได้ไหม”
ตอนนั้น อดีตแฟนผมพยายามชวนหลายครั้ง บอกว่าควรจะไปนะ ถ้าไม่ไปจะมาเสียดายทีหลังก็ทำอะไรไม่ได้นะ ซึ่งจริงๆ แล้วผมก็อยากไป แต่ความขี้เกียจและความอยากสบายมันดันชนะความอยากออกไปเรียนรู้ของผม ตอนนี้ พอทำงานแล้ว ชีวิตมีข้อจำกัดต่างๆ มากขึ้น โอกาสที่เราจะได้ไปหาประสบการณ์ออกค่ายลุยๆ แบบนั้น ถึงจะมีอยู่แต่มันก็มีน้อยนิดเหลือเกิน จนผมต้องมาบ่นให้ฟังนี่แหละครับ... บางทีคิดๆดูก็น่าขันที่ผมเคยไปออกค่ายถึงกลางป่าแอฟริกาใต้ แต่กลับไม่เคยไปสัมผัสกับชนบทไทยแบบจริงๆจังๆเลยสักครั้ง...
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมเสียดายมากเช่นกัน คือการที่ผมไม่ได้ร่วมกิจกรรมทำละคอนเวทีของบีอีอย่างจริงๆจังๆเลย (ข้ออ้างของผมก็คล้ายๆเดิมนั่นแหละครับ)
ผมไม่เคยเป็นสตาฟฟ์ละคอน มากที่สุดที่ทำคือช่วยทำคัทเอาท์บ้าง ช่วยจัดฉากติดป้ายอะไรเล็กๆน้อยๆ ช่วยติวไมโครให้น้องๆ และติว 460 ให้เพื่อนๆ แต่ทั้งหมดนั้นถือว่าน้อยมากๆ
ผมเสียดายโอกาสที่จะได้ทำงานร่วมกับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆในวงกว้าง เสียดายโอกาสที่จะมีช่วงเวลาที่เพื่อนๆหลายคนมี เช่น การได้ไปทำงานที่บ้านเพื่อนตอนกลางคืนจนดึกดื่นหรือค้างคืนไปเลย การซ้อมหรือทำฉากที่มหาลัยจนดึกดื่น บางคนหอบข้าวของมาค้างที่มหาลัยด้วยเลย
ผมเสียดายช่วงเวลาเหล่านี้ ซึ่งถึงแม้งานจะเยอะจะยากจะเหนื่อยอย่างไร ถึงแม้จะมีการทะเลาะขัดแย้งกันบ้าง ผมก็รู้ว่ามันต้องเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสุข เป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าในความทรงจำของเพื่อนๆทุกคนอย่างแน่นอน
------------------------------------------
ผมรู้ว่าทั้งหมดนี้มันเป็นอดีตที่ผมไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ แต่ที่มานั่งตัดพ้อบ่นถึงอดีตในบล็อกนี้ ลึกๆแล้วผมคงอยากจะเตือนตัวเองให้เรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียดายแบบนี้อีกในอนาคต และขอฝากเรื่องนี้ไว้เป็นข้อคิดให้รุ่นน้องๆที่มีโอกาสทำกิจกรรมอะไรต่างๆนั้น รีบไขว่คว้าโอกาสนั้นไว้เถอะครับ อย่าให้ต้องมานั่งเสียดายโอกาสที่ปล่อยให้หลุดลอยไปในภายหลังนะครับ...
"ออกไปมองฟ้าและน้ำที่กว้างใหญ่
ให้ได้กลิ่นดินที่ลมนั้นพัดเข้ามาจากสุดไกลตา
โลกอันกว้างใหญ่ เรามันแค่ใคร...
ออกไปมองฟ้าและน้ำที่กว้างใหญ่
ให้ได้กลิ่นดินที่ลมนั้นพัดเข้ามาจากสุดปลายฟ้า
โลกอันกว้างใหญ่ เลือกทางที่ไปของเธอ..."
You only have ONE life. Live it to the fullest!
Monday, November 06, 2006
ไก่จิกสิงห์ตายบนปากโอ่ง
มันสะใจจริงๆ ครับ เกมพรีเมียร์ลีกเมื่อคืนระหว่างไก่เดือยทองของผมกับเชลซี เป็นเกมคุณภาพคับแก้ว ทั้งสองทีมเปิดเกมบุกแลกกันได้มันจริงๆ
สเปอร์สเล่นได้สุดยอด ได้ใจมาก ตั้งแต่เชียร์สเปอร์สมา นัดนี้เป็นอีกนัดที่ต้องบันทึกไว้ว่านักเตะพลพรรคไก่เล่นได้เด็ดมากๆ เล่นด้วยความมั่นใจ ไม่เกรงกลัวศักดิ์ศรีแชมป์เก่าอย่างเชลซีเลย
จังหวะที่โดนมาเกเลเล่ซัดให้เชลซีนำไปก่อน ผมยอมรับว่าเสียขวัญไปเยอะ แต่ก็ยังมีความหวังลึกๆ ว่าสเปอร์สจะกลับมาได้
วินาทีที่ดอร์สันโหม่งทำประตูตีเสมอ ผมนี่กระโดดชกลมไปหลายหมัด ท่าเดียวกับที่ดอร์สันดีใจเลยครับ สะใจจริงๆ
หลังจากตีเสมอสำเร็จ กองเชียร์ในไวท์ ฮาร์ท เลน ส่งเสียงคึกคักและอื้ออึงมาก นักเตะไก่เหมือนได้ใจ ทำเกมรุกจนเชลซีปั่นป่วนอยู่พักใหญ่ ยิ่งเล่นยิ่งมั่นใจ มีโอกาสทำประตูหลายครั้ง โดยเฉพาะจังหวะที่เลนน่อนเลี้ยงหลบแอชลี่ย์ โคล แล้วโยนด้วยซ้ายให้คีนโฉบเข้ามาโหม่งข้ามคานไปนิดเดียว
ครึ่งหลัง สเปอร์สยังคงมีสมาธิกับเกมดี เล่นด้วยความมั่นใจเหมือนเดิม และมาได้ประตูนำจากจังหวะที่คีนลากเลื้อยทางกราบซ้าย โยกซ้ายโยกขวาหลอกบูลารูทซ์จนเสียหลัก แล้วโยนเข้ากลาง บอลมาเข้าทางเลนน่อน ตอนแรก ผมนึกว่าไอ้หนูเลนน่อนจะวอลเล่ย์ด้วยขวาทันที แต่เลนน่อนกลับล็อกบอลลงพื้นด้วยขวา (ทำเอาแอชลีย์ โคล ซึ่งประกบอยู่หลงไปเลย) แล้วไอ้หนูเลนน่อนก็ซัดด้วยซ้ายหนีมือฮิลาริโอเข้าไปอย่างสวยงาม
นาทีนั้น ไวท์ ฮาร์ท เลน แทบจะแตกเลยครับ ความรู้สึกมันสุดๆ แล้ว ผมกระโดด แล้ววิ่งรอบห้อง ทำท่าอะไรไม่รู้ด้วยความสะใจ ไม่ได้สะใจอย่างนี้มาตั้งแต่ตอนที่อิตาลีคว้าแชมป์โลกแล้ว ความรู้สึกพอๆ กันเลยครับ แม้ scale ของการแข่งขันมันจะต่างกันมากก็ตาม
แม้ช่วงท้ายเกม เชลซีจะพยายามบุกเข้าใส่ แต่สเปอร์สก็เหนียวแน่นและมีโชคช่วยมากพอที่จะรักษาสกอร์ 2-1 ไว้ได้จนจบเกม
จบเกมตอนตีหนึ่ง ผมพยายามนอน แต่นอนไม่หลับ เพราะ adrenaline หลั่งออกมามากมั้งครับ ความรู้สึกตื่นเต้น มันส์ สะใจ มันยังค้างอยู่
ต้องขอบคุณนักเตะสเปอร์สทุกคนที่ช่วยกันเล่น ช่วยกันไล่ แบบเต็มสูบ เลนน่อนเล่นได้แจ่มมาก เช่นเดียวกับคีน ส่วนเกมรับก็ต้องชมดอร์สันที่เหนียวแน่น มีสมาธิกับเกมตลอด และก็ชิมบงด้าด้วยที่ฝืนเล่นทั้งๆ ที่เจ็บตั้งแต่ต้นเกม แต่ก็สามารถเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม ตามประกบร็อบเบนได้ดีมาก เล็ดลี่ย์ คิง ก็เล่นดี เช่นเดียวกับโรบินสันที่เซฟลูกอันตรายได้หลายจังหวะ เบอร์บาตอฟก็เล่นดี ครึ่งแรกมีจังหวะเลี้ยงลุยทะลวงแนวรับเชลซีได้เหมือนกัน จีนาส กาลี โซโกร่า และเอก็อตโต้ก็เล่นได้ตามมาตรฐานของตัวเอง...
ขอบคุณที่ทำให้เราได้รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นสาวกไก่ และขอบคุณที่ทำให้เราได้เห็นว่า หากคนเรามีความตั้งใจ มีความมุ่งมั่นเพียรพยายามแล้ว ต่อให้อะไรมันจะยากแค่ไหน มันก็เป็นไปได้เสมอ...
สเปอร์สเล่นได้สุดยอด ได้ใจมาก ตั้งแต่เชียร์สเปอร์สมา นัดนี้เป็นอีกนัดที่ต้องบันทึกไว้ว่านักเตะพลพรรคไก่เล่นได้เด็ดมากๆ เล่นด้วยความมั่นใจ ไม่เกรงกลัวศักดิ์ศรีแชมป์เก่าอย่างเชลซีเลย
จังหวะที่โดนมาเกเลเล่ซัดให้เชลซีนำไปก่อน ผมยอมรับว่าเสียขวัญไปเยอะ แต่ก็ยังมีความหวังลึกๆ ว่าสเปอร์สจะกลับมาได้
วินาทีที่ดอร์สันโหม่งทำประตูตีเสมอ ผมนี่กระโดดชกลมไปหลายหมัด ท่าเดียวกับที่ดอร์สันดีใจเลยครับ สะใจจริงๆ
หลังจากตีเสมอสำเร็จ กองเชียร์ในไวท์ ฮาร์ท เลน ส่งเสียงคึกคักและอื้ออึงมาก นักเตะไก่เหมือนได้ใจ ทำเกมรุกจนเชลซีปั่นป่วนอยู่พักใหญ่ ยิ่งเล่นยิ่งมั่นใจ มีโอกาสทำประตูหลายครั้ง โดยเฉพาะจังหวะที่เลนน่อนเลี้ยงหลบแอชลี่ย์ โคล แล้วโยนด้วยซ้ายให้คีนโฉบเข้ามาโหม่งข้ามคานไปนิดเดียว
ครึ่งหลัง สเปอร์สยังคงมีสมาธิกับเกมดี เล่นด้วยความมั่นใจเหมือนเดิม และมาได้ประตูนำจากจังหวะที่คีนลากเลื้อยทางกราบซ้าย โยกซ้ายโยกขวาหลอกบูลารูทซ์จนเสียหลัก แล้วโยนเข้ากลาง บอลมาเข้าทางเลนน่อน ตอนแรก ผมนึกว่าไอ้หนูเลนน่อนจะวอลเล่ย์ด้วยขวาทันที แต่เลนน่อนกลับล็อกบอลลงพื้นด้วยขวา (ทำเอาแอชลีย์ โคล ซึ่งประกบอยู่หลงไปเลย) แล้วไอ้หนูเลนน่อนก็ซัดด้วยซ้ายหนีมือฮิลาริโอเข้าไปอย่างสวยงาม
นาทีนั้น ไวท์ ฮาร์ท เลน แทบจะแตกเลยครับ ความรู้สึกมันสุดๆ แล้ว ผมกระโดด แล้ววิ่งรอบห้อง ทำท่าอะไรไม่รู้ด้วยความสะใจ ไม่ได้สะใจอย่างนี้มาตั้งแต่ตอนที่อิตาลีคว้าแชมป์โลกแล้ว ความรู้สึกพอๆ กันเลยครับ แม้ scale ของการแข่งขันมันจะต่างกันมากก็ตาม
แม้ช่วงท้ายเกม เชลซีจะพยายามบุกเข้าใส่ แต่สเปอร์สก็เหนียวแน่นและมีโชคช่วยมากพอที่จะรักษาสกอร์ 2-1 ไว้ได้จนจบเกม
จบเกมตอนตีหนึ่ง ผมพยายามนอน แต่นอนไม่หลับ เพราะ adrenaline หลั่งออกมามากมั้งครับ ความรู้สึกตื่นเต้น มันส์ สะใจ มันยังค้างอยู่
ต้องขอบคุณนักเตะสเปอร์สทุกคนที่ช่วยกันเล่น ช่วยกันไล่ แบบเต็มสูบ เลนน่อนเล่นได้แจ่มมาก เช่นเดียวกับคีน ส่วนเกมรับก็ต้องชมดอร์สันที่เหนียวแน่น มีสมาธิกับเกมตลอด และก็ชิมบงด้าด้วยที่ฝืนเล่นทั้งๆ ที่เจ็บตั้งแต่ต้นเกม แต่ก็สามารถเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม ตามประกบร็อบเบนได้ดีมาก เล็ดลี่ย์ คิง ก็เล่นดี เช่นเดียวกับโรบินสันที่เซฟลูกอันตรายได้หลายจังหวะ เบอร์บาตอฟก็เล่นดี ครึ่งแรกมีจังหวะเลี้ยงลุยทะลวงแนวรับเชลซีได้เหมือนกัน จีนาส กาลี โซโกร่า และเอก็อตโต้ก็เล่นได้ตามมาตรฐานของตัวเอง...
ขอบคุณที่ทำให้เราได้รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นสาวกไก่ และขอบคุณที่ทำให้เราได้เห็นว่า หากคนเรามีความตั้งใจ มีความมุ่งมั่นเพียรพยายามแล้ว ต่อให้อะไรมันจะยากแค่ไหน มันก็เป็นไปได้เสมอ...
Friday, November 03, 2006
ข้อคิดจากแท็กซี่
เมื่อวานนี้ ผมนั่งแท็กซี่จากหน้าแบงก์ชาติไปลงแถวตลิ่งชัน
พี่คนขับแท็กซี่คันนั้นชื่อพี่สาคร คุยกันได้ความว่าเป็นคนร้อยเอ็ดโดยกำเนิด เข้ามาขับแท็กซี่ในกรุงเทพได้หลายปีแล้ว แต่ก็ไม่ได้ขับตลอด ช่วงในเป็นฤดูทำนาก็กลับไปทำนาที่บ้าน หมดฤดูทำนาก็เข้ามาขับแท็กซี่
แม้จะได้พบพี่สาครไม่ถึงชั่วโมง ผมสรุปได้ว่าพี่สาครเป็นคนที่รักสงบ พูดจาดีเรียบๆ มีความจริงใจ และที่สำคัญ พี่สาครมีกรอบวิธีการคิด วิธีการมองเหตุการณ์ต่างๆ ที่น่าสนใจ
พี่สาครพูดถึงการโดนตำรวจเรียกเมื่อวันก่อนแถวๆ หน้ามาบุญครอง คือจอดรับผู้โดยสารแป๊บเดียวก็โดนตำรวจเรียก หลังจากต่อรองกับตำรวจเสร็จก็จ่ายค่าปรับไป 50 บาท
พี่สาครพูดทั้งหมดนี้ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่ได้แฝงไปด้วยอารมณ์โกรธเคืองแต่อย่างใด แตกต่างจากแท็กซี่คนอื่นๆ ที่ผมเห็นมา ที่มักจะเล่าถึงการโดนตำรวจเรียกด้วยความโกรธเคือง
ยิ่งกว่านั้น พี่สาครยังพูดต่อว่า “แต่ผมก็เห็นใจตำรวจนะ บางทีก็ทำงานหนัก เหนื่อย บางคนไม่มีน้ำกิน ยืนโบกรถเช้าเย็น กว่าจะเลิกงานก็ต้องรอระบายรถให้หมดก่อน กลับบ้านก็ค่ำแล้ว”
แม้จะโดนเรียกโดนจับหลายครั้ง แต่พี่สาครก็ยังแสดงความเห็นอกเห็นใจตำรวจ ใช้เหตุผลในการวิพากษ์สถานการณ์เป็นกรณีๆไป ไม่ใช่ว่าพอโดนตำรวจจับก็จะเห็นตำรวจเป็นศัตรูหรือเป็นฝ่ายตรงข้ามที่จะต้องด่าต้องเกลียดไปซะทุกเรื่อง
ผมรู้สึกทึ่งในความมีเหตุผล จิตใจที่เปิดกว้าง และการรู้จักทำความเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นของพี่สาครมาก ผมคิดว่าพี่สาครมีเหตุมีผลและมีความเคารพในผู้อื่นมากกว่าผู้นำในสังคมและผู้มีการศึกษาหลายๆคนเสียอีก
ความขัดแย้งต่างๆในสังคมไทย ทั้งเรื่องเล็กไปจนถึงเรื่องใหญ่ สังเกตดีๆจะพบว่ามาจากการยึดถือเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ มีการเล่นพรรคเล่นพวก (เช่น ถ้าคุณอยู่ฝ่ายทักษิณ คุณก็คือศัตรูของผม คุณทำอะไรถือว่าผิดหมด คุณโง่ไปหมด) ใครอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเรา เราก็ด่าเสียๆหายๆ จ้องแต่จะด่าในทุกกรณี ไม่สนใจเหตุผลของอีกฝ่าย
ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ ไม่เชื่อลองสังเกตดูนะครับ ตั้งแต่ในวงสภากาแฟของคนทั่วไป ไปจนถึงระดับนักการเมือง เวลาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องอะไรก็ตาม คนส่วนใหญ่จะเลือกข้างยืนที่ชัดเจน แล้วก็ไม่ค่อยสนใจที่จะทำความเข้าใจคนอื่นที่เห็นต่างจากตัว ไม่สนใจที่จะรับฟังและมักจะมีท่าทีต่อต้านเหตุผลและหลักฐานที่ตรงกันข้ามกับความคิดตน
ผมคิดว่า นี่คือลักษณะของคนไทยที่เป็นตัวถ่วงกระบวนการพัฒนาสังคมของไทยที่สำคัญที่สุด ถ้าสังคมจะขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและสงบสุข เราจำเป็นที่จะต้องสลัดกรอบความคิดแบบนี้ทิ้งไปให้ได้
นี่คือบทเรียนสำคัญที่ผมได้รับจากคนขับแท็กซี่ตัวเล็กๆคนหนึ่ง
พี่คนขับแท็กซี่คันนั้นชื่อพี่สาคร คุยกันได้ความว่าเป็นคนร้อยเอ็ดโดยกำเนิด เข้ามาขับแท็กซี่ในกรุงเทพได้หลายปีแล้ว แต่ก็ไม่ได้ขับตลอด ช่วงในเป็นฤดูทำนาก็กลับไปทำนาที่บ้าน หมดฤดูทำนาก็เข้ามาขับแท็กซี่
แม้จะได้พบพี่สาครไม่ถึงชั่วโมง ผมสรุปได้ว่าพี่สาครเป็นคนที่รักสงบ พูดจาดีเรียบๆ มีความจริงใจ และที่สำคัญ พี่สาครมีกรอบวิธีการคิด วิธีการมองเหตุการณ์ต่างๆ ที่น่าสนใจ
พี่สาครพูดถึงการโดนตำรวจเรียกเมื่อวันก่อนแถวๆ หน้ามาบุญครอง คือจอดรับผู้โดยสารแป๊บเดียวก็โดนตำรวจเรียก หลังจากต่อรองกับตำรวจเสร็จก็จ่ายค่าปรับไป 50 บาท
พี่สาครพูดทั้งหมดนี้ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่ได้แฝงไปด้วยอารมณ์โกรธเคืองแต่อย่างใด แตกต่างจากแท็กซี่คนอื่นๆ ที่ผมเห็นมา ที่มักจะเล่าถึงการโดนตำรวจเรียกด้วยความโกรธเคือง
ยิ่งกว่านั้น พี่สาครยังพูดต่อว่า “แต่ผมก็เห็นใจตำรวจนะ บางทีก็ทำงานหนัก เหนื่อย บางคนไม่มีน้ำกิน ยืนโบกรถเช้าเย็น กว่าจะเลิกงานก็ต้องรอระบายรถให้หมดก่อน กลับบ้านก็ค่ำแล้ว”
แม้จะโดนเรียกโดนจับหลายครั้ง แต่พี่สาครก็ยังแสดงความเห็นอกเห็นใจตำรวจ ใช้เหตุผลในการวิพากษ์สถานการณ์เป็นกรณีๆไป ไม่ใช่ว่าพอโดนตำรวจจับก็จะเห็นตำรวจเป็นศัตรูหรือเป็นฝ่ายตรงข้ามที่จะต้องด่าต้องเกลียดไปซะทุกเรื่อง
ผมรู้สึกทึ่งในความมีเหตุผล จิตใจที่เปิดกว้าง และการรู้จักทำความเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นของพี่สาครมาก ผมคิดว่าพี่สาครมีเหตุมีผลและมีความเคารพในผู้อื่นมากกว่าผู้นำในสังคมและผู้มีการศึกษาหลายๆคนเสียอีก
ความขัดแย้งต่างๆในสังคมไทย ทั้งเรื่องเล็กไปจนถึงเรื่องใหญ่ สังเกตดีๆจะพบว่ามาจากการยึดถือเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ มีการเล่นพรรคเล่นพวก (เช่น ถ้าคุณอยู่ฝ่ายทักษิณ คุณก็คือศัตรูของผม คุณทำอะไรถือว่าผิดหมด คุณโง่ไปหมด) ใครอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเรา เราก็ด่าเสียๆหายๆ จ้องแต่จะด่าในทุกกรณี ไม่สนใจเหตุผลของอีกฝ่าย
ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ ไม่เชื่อลองสังเกตดูนะครับ ตั้งแต่ในวงสภากาแฟของคนทั่วไป ไปจนถึงระดับนักการเมือง เวลาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องอะไรก็ตาม คนส่วนใหญ่จะเลือกข้างยืนที่ชัดเจน แล้วก็ไม่ค่อยสนใจที่จะทำความเข้าใจคนอื่นที่เห็นต่างจากตัว ไม่สนใจที่จะรับฟังและมักจะมีท่าทีต่อต้านเหตุผลและหลักฐานที่ตรงกันข้ามกับความคิดตน
ผมคิดว่า นี่คือลักษณะของคนไทยที่เป็นตัวถ่วงกระบวนการพัฒนาสังคมของไทยที่สำคัญที่สุด ถ้าสังคมจะขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและสงบสุข เราจำเป็นที่จะต้องสลัดกรอบความคิดแบบนี้ทิ้งไปให้ได้
นี่คือบทเรียนสำคัญที่ผมได้รับจากคนขับแท็กซี่ตัวเล็กๆคนหนึ่ง
Tuesday, July 18, 2006
My World Cup Memory (1)
เช้ามืดวันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม 2549 เวลาประมาณตีสาม
ทันทีที่ผู้ตัดสินชาวอาร์เจนติน่าเป่านกหวีดหมดเวลา 90 นาทีที่สนามโอลิมปิก สเตเดียม กรุงเบอร์ลิน ภายในหัวสมองของผมมีภาพความทรงจำของฟุตบอลโลกครั้งก่อนๆปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน พร้อมๆกับความคิดในแง่ร้ายว่า หรือฟุตบอลโลกครั้งนี้อาจจะเป็นอีกครั้งที่ผมจะต้อง “อกหัก” กับทีมอัซซูรี่...
[1]
ฟุตบอลโลกของผมเริ่มต้นขึ้นเมื่อสิบสองปีที่แล้ว ตอนนั้นผมเรียนอยู่ชั้น ป.4 ซึ่งเป็นช่วงที่ผมเพิ่งเริ่มเล่นฟุตบอลอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ ปีนั้นเป็นปีที่มีการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกขึ้นที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งครูประจำชั้นของผม (ชื่อครูบุปผา) ก็ได้ตอบรับกระแสเวิล์ดคัพฟีเวอร์ด้วยการจัดให้มีการทายผลฟุตบอลโลกขึ้นภายในห้องเรียนของเรา โดยผมและเพื่อนๆแต่ละคนต้องเลือกทายทีมชาติหนึ่งทีมที่เราคิดว่าจะเป็นแชมป์โลก ถ้าทายถูกก็มีโอกาสได้รางวัลที่คุณครูเตรียมไว้ให้ ถ้าผมจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะมีรางวัลอยู่ห้าชิ้นด้วยกัน
ตอนนั้น ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเลือกทายและเลือกเชียร์ทีมไหนดี จำได้ว่าเพื่อนๆเกินครึ่งห้องจะเลือกทีมแซมบ้า บราซิลกัน บางคนก็เลือกอาร์เจนติน่า บางคนก็เยอรมัน ผมเองไม่แน่ใจว่าจะเลือกทีมไหนดี เลยไปซื้อหนังสือคู่มือบอลโลกว่าพลิกอ่านดู ก็ทำให้รู้จักทีมต่างๆได้ดีขึ้น สุดท้ายแล้ว ผมก็เลือกเชียร์ทีมชาติอิตาลี ซึ่งในห้องเรียนผมนั้นมีไม่ถึงห้าคนด้วยซ้ำที่เลือกเชียร์ทีมนี้
ทำไมตอนนั้นผมถึงเลือกเชียร์อิตาลี? ผมตอบตามตรง... ผมจำไม่ได้จริงๆ
อาจจะเป็นเพราะสะดุดตากับชุดแข่งสีน้ำเงินสวย อาจเป็นเพราะลีลาการเล่นของไอ้หนุ่มผมเปียคนนั้นผู้มีนามว่า “โรแบร์โต้ บักโจ้” อาจเป็นเพราะผมได้ยินชื่อนักเตะอิตาเลียนแล้วรู้สึกว่ามันเท่และแปลกดี อาจเป็นเพราะผมอยากแตกต่างจากเพื่อนคนอื่นๆที่เลือกทีมอย่างบราซิล อาจเป็นเพราะอิตาลีเป็นหนึ่งในน้อยทีมที่เคยได้แชมป์บอลโลกมาถึงสามสมัย หรืออาจเป็นเพราะทุกๆเหตุผลที่พูดมานี้รวมๆกันก็เป็นได้
เอาเถอะครับ... สุดท้ายแล้วผมก็เลือกเชียร์ทีมอัซซูรี่ (แปลว่า สีน้ำเงิน) และเฝ้าติดตามชมการเล่นของทีมๆนี้ตลอดทุกนัด เอาแค่รอบแรก ผมก็ต้องลุ้นแทบตายกว่าอิตาลีจะผ่านเข้าไปสู่รอบสองได้แบบทุลักทุเล เพราะอิตาลีโชว์ฟอร์มได้ไม่ดีเลย จบรอบแรกนั้นทั้งสี่ทีมในกลุ่มของอิตาลีมีคะแนนเท่ากันทุกทีมคือสี่คะแนน แต่ดูจากประตูได้เสียจะพบว่าอิตาลีอยู่ที่สาม แต่อิตาลีก็ยังได้เข้ารอบในฐานะอันดับสามที่มีคะแนนดีที่สุด (ตอนนั้นฟุตบอลโลกมี 24 ทีมเข้าร่วมแข่งขัน ทำให้ทีมอันดับสามของสองกลุ่มที่มีคะแนนดีที่สุดจะได้ผ่านรอบแรก)
หลังจากผ่านรอบแรกมาได้อย่างกระท่อนกระแท่น อิตาลีภายใต้โค้ชอาริโก้ ซาคคี่ ก็ต้องโคจรมาพบกับ “อินทรีมรกต” ไนจีเรีย ซึ่งโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในรอบแรก ปรากฏว่าอิตาลีอาศัยความเขี้ยวชนะไปด้วยสกอร์ 2-1 โดยยิงประตูชัยได้ในช่วงท้ายเกม (หรือช่วงต่อเวลาพิเศษ ผมไม่แน่ใจ) รอบแปดทีมอิตาลีเจอกับทีมชาติสเปน ปรากฏว่าอิตาลีเฉือนชนะไปได้อีก 2-1 จากประตูชัยของบักโจ้ในช่วงก่อนจะหมดเวลาไม่กี่อึดใจ
ลูกยิงลูกนั้นของบักโจ้ทำให้ผมยิ่งชื่นชอบทีมอัซซูรี่มากขึ้นไปอีก เวลาเตะบอลกับเพื่อนผมก็จะชอบเลียนแบบลีลาการเล่นแบบเขา จนเพื่อนๆพากันเรียกผมว่าบักโจ้ ทำเอาผมปลื้มเอามากๆ
รอบรองฯ อิตาลีเข้าไปพบกับม้ามืดตัวจริงของทัวร์นาเมนต์ นั่นคือ ทีมชาติบัลแกเรีย ซึ่งผ่านแชมป์เก่าเยอรมันมาได้ในรอบแปดทีม บัลแกเรียมีซูเปอร์สตาร์ระดับโลกคือ ฮริสโต้ สตอยคอฟ ซึ่งผมเห็นว่าเขาเป็นสุดยอดอัจฉริยะโลกลูกหนังคนหนึ่งในยุค 1990s ในการเจอกันวันนั้น โรแบร์โต้ บักโจ้ทำสองประตูช่วยให้อิตาลีเอาชนะไปได้ 2-1 ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ ทั้งๆที่เกือบจะตกรอบแรกอยู่รอมร่อ
นัดชิงชนะเลิศ ผมเข้านอนแต่หัวค่ำและตื่นขึ้นมาดูเกมกลางดึก เพราะวันรุ่งขึ้นจะต้องไปโรงเรียน เกมนัดนั้นอิตาลีสู้บราซิลไม่ได้จริงๆ อิตาลีได้แต่ตั้งรับเกือบทั้งเกม มีจังหวะสวนกลับอยู่บ้างแต่ก็น้อยมาก แต่เกมรับของอิตาลีก็ยังเหนียวแน่นสมราคา สามารถยันเกมรุกของบราซิลที่มีทั้งโรมาริโอและเบเบโต้ไว้ได้จนครบ 120 นาที ต้องตัดสินกันด้วยการยิงจุดโทษ
ผลปรากฏว่าอิตาลียิงจุดโทษสู้ทีมแซมบ้าไม่ได้ แพ้ไปในที่สุดหลังจากที่โรแบร์โต้ บักโจ้ ยิงจุดโทษลูกสุดท้ายข้ามคานไปแบบเหลือเชื่อ... ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ น้ำตาไหลซึมออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ผม “อิน” มากๆกับช่วงเวลาแห่งความซึมเศร้าของนักเตะอิตาเลียน โดยเฉพาะกับโรแบร์โต้ บักโจ้ ผู้ซึ่งยืนเท้าเอวอย่างหมดอาลัยและร้องไห้ออกมาหลังพลาดจุดโทษ
อิตาลีแพ้จุดโทษอีกครั้ง หลังจากที่สี่ปีที่แล้วที่อิตาลีเป็นเจ้าภาพ พวกเขาก็แพ้จุดโทษอาร์เจนติน่าในรอบรองชนะเลิศ
ผมร้องไห้ แต่ผมก็ไม่โทษนักเตะอิตาเลียน ผมประทับใจกับการเล่นของบักโจ้และนักเตะอิตาเลียนทุกคนในทัวร์นาเมนต์นั้น ไม่ว่าจะเป็นบาเรซี่, โดนาโดนี่, มัสซาโร่, ดิโน่ บักโจ้, ปายูก้า, อัลแบร์ตินี่, นิโกล่า แบร์ตี้ และคนอื่นๆ
ผมรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งที่พวกเขาทำให้ผมมีช่วงเวลาที่ตื่นเต้น มีช่วงเวลาที่ผมได้ลุ้นระทึกจนใจผมเต้นตุบตุบๆ มีช่วงเวลาแห่งความสุขจากการได้ชัยชนะ มีช่วงเวลาที่ผมได้ “เฮ” ดังๆชนิดที่ทำให้คนอื่นๆในบ้านสะดุ้งตื่นขึ้นมาได้...
ผมขอบคุณทีมชาติอิตาลีและขอบคุณฟุตบอลโลกที่ได้มอบความรู้สึกเหล่านี้ให้กับผม... เป็นความรู้สึกที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน... ถึงแม้ตอนจบจะเต็มไปด้วยความเศร้าจากความพ่ายแพ้ แต่ผมก็บอกกับตัวเองว่า จะตามเชียร์ทีมอิตาลีต่อไป และจะรอวันที่อิตาลีได้ลิ้มรสชัยชนะในที่สุด
[2]
สี่ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก ฟุตบอลโลกปี 1998 จัดขึ้นที่ฝรั่งเศส ปีนี้เป็นปีแรกที่มีทีมเข้าร่วมรอบสุดท้ายมากถึง 32 ทีม ตามนโยบายของโจฮัว ฮาเวาลานจ์ ประธานฟีฟ่าซึ่งต้องการให้ประเทศต่างๆในโลกได้เข้าถึงกีฬาฟุตบอลอย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น ซึ่งจุดนี้ผมเห็นว่าเป็นก้าวสำคัญของฟีฟ่าที่ได้ทำให้เกมฟุตบอลกลายเป็นเกมกีฬาของมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง
ฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นฟุตบอลโลกที่ไม่ประทับใจผมเท่ากับบอลโลกครั้งก่อน อิตาลีทีมรักของผมอยู่ภายใต้การทำทีมของเซซาเร่ มัลดินี่ บิดาของแบ๊กซ้ายระดับตำนานอย่าง เปาโล มัลดินี่ อิตาลีผ่านรอบแรกมาได้ด้วยการเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่ม รอบสองเจอกับนอร์เวย์ ปรากฏว่าเอาชนะไปได้ 1-0 จากลูกยิงของคริสเตียน วิเอรี่ ศูนย์หน้าร่างใหญ่ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงทอปฟอร์ม
รอบแปดทีมสุดท้าย อิตาลีเจอศึกหนักกับเจ้าภาพฝรั่งเศส เกมดำเนินไปอย่างค่อนข้างน่าเบื่อ ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายเปิดเกมบุกได้มากกว่าแต่ก็เจาะแผงหลังอิตาลีไม่ได้ ครบ 120 นาทีต้องดวลจุดโทษตัดสิน
นี่เป็นการดวลจุดโทษตัดสินในฟุตบอลโลกสามครั้งติดต่อกันของอิตาลี สองครั้งที่ผ่านมาอิตาลีแพ้มาทั้งสองครั้ง มาครั้งนี้ผมหวังว่าพวกเขาจะชนะบ้าง แต่แล้วก็เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกกับอิตาลีอีกครั้ง เมื่อพวกเขาพลาดท่าเป็นครั้งที่สามติดต่อกัน ต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านไปในที่สุด...
ฟุตบอลโลกปี 94 และ 98 ซึ่งเป็นฟุตบอลโลกสองสมัยแรกของผม จบลงด้วยความผิดหวัง อิตาลีไม่ได้แพ้ในเกมปกติ แต่แพ้จากการดวลจุดโทษตัดสินทั้งสองครั้ง แต่ผมก็ยังบอกกับตัวเองว่าจะยังตามเชียร์ทีมๆนี้ต่อไปในฟุตบอลโลกครั้งหน้าซึ่งจะจัดขึ้นในทวีปเอเชียเป็นครั้งแรก
[3]
ฟุตบอลโลกปี 2002 เป็นครั้งแรกที่จัดในเอเชียและเป็นครั้งแรกที่มีเจ้าภาพร่วมกันสองประเทศคือ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
อิตาลีปีนี้อยู่ภายใต้การนำของโจวานนี่ ตราปัตโตนี่ โค้ชจอมเก๋าผู้เคยประสบความสำเร็จในระดับสโมสรมามากมาย ก่อนฟุตบอลโลกเริ่มขึ้น ผมไม่มั่นใจเลยว่าอิตาลีจะไปได้ไกลในบอลโลกครั้งนี้ เพราะโดยส่วนตัวแล้วไม่ชอบการทำทีมของตราปัตโตนี่ที่เน้นเกมรับมากจนเกินควร ทั้งๆที่อิตาลีชุดนี้มีนักเตะเทคนิคสูงหลายคนอยู่ในทีม เช่น วิเอรี่, ต๊อตติ และเดล ปิเอโร่
อิตาลีประเดิมสนามนัดแรกอย่างสวยงามด้วยการเอาชนะเอกวาดอร์ไปได้แบบสบายๆ 2-0 ซึ่งทั้งสองลูกเกิดขึ้นในครึ่งแรก อย่างไรก็ตาม ฟอร์มการเล่นในครึ่งหลังของอิตาลีทำให้ผมรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก เพราะเล่นเหมือนไปเรื่อยๆ ไม่ตั้งใจเล่น ไม่ค่อยจะเปิดเกมรุก หรือเวลาเปิดเกมรุกก็มักจะทำได้ไม่ดี จังหวะขาดๆเกินๆอยู่ตลอด
พอมานัดที่สอง อิตาลีต้องพบกับโครเอเชีย ซึ่งนัดนั้นอิตาลีเล่นกันได้แย่มาก และแพ้ไปในที่สุด 1-2 โดยเสียประตูที่สองจากความผิดพลาดของมาร์โก มาเตรัซซี่ ผู้ได้รับการขนามนามว่าเป็น “บ่อน้ำมัน” ในแผงหลังของทีม จากความพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำให้อิตาลีต้องพยายามเก็บชัยชนะให้ได้ในนัดสุดท้ายที่จะพบกับเม็กซิโก ไม่อย่างนั้นก็มีโอกาสสูงที่จะต้องเก็บของกลับบ้านเร็วกว่ากำหนด
นัดสุดท้ายกับเม็กซิโก อิตาลียังเล่นได้ไม่ประทับใจเช่นเดิม โดยโดนเม็กซิโกยิงนำไปก่อนในครึ่งแรก ตอนนั้นอิตาลีต้องการประตูอีกอย่างน้อยหนึ่งลูกเพื่อตีเสมอให้ได้ แล้วไปลุ้นผลอีกคู่ให้โครเอเชียแพ้เอกวาดอร์ ซึ่งปรากฏว่าเดล ปิเอโร่ยิงประตูตีเสมอให้อิตาลีได้สำเร็จในช่วงห้านาทีสุดท้ายก่อนหมดเวลา ส่วนอีกคู่โครเอเชียดันพลาดท่าพ่ายต่อเอกวาดอร์ไป 0-1 ทำให้อิตาลีได้ผ่านเข้ารอบสองไปอย่างทุลักทุเลและไม่น่าประทับใจที่สุด
ในรอบสอง อิตาลีต้องพบกับเจ้าภาพร่วมคือเกาหลีใต้ ซึ่งก่อนเกมผมมองว่าอิตาลีโชคดีมากที่เจอเกาหลีใต้ เพราะเทคนิคและความสามารถเฉพาะตัวของอิตาลีเหนือกว่านักเตะเกาหลีใต้มาก อิตาลีน่าจะผ่านไปได้ ซึ่งอิตาลีก็เกือบจะทำได้สำเร็จ เพราะได้ประตูออกนำไปก่อนจากวิเอรี่ตั้งแต่นาทีที่ 18 แต่หลังจากนั้น อิตาลีมีโอกาสปิดบัญชีตอกฝาโลงเกาหลีใต้แต่ก็ทำไม่ได้ จนเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงนาทีที่ 88 หัวจิตหัวใจของผมก็แทบจะหล่นตุ๊บลงไปอยู่ที่เท้า...
โซล คี เฮียน เติมขึ้นมายิงผ่านมือบุฟฟ่อนเข้าไปชนิดที่ผมและนักเตะอิตาลีทุกคนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ตอนนั้นบรรยากาศภายในสนามมันเหมือนนรกของนักเตะอิตาลีดีๆนี่เอง เพราะแฟนบอลเกาหลีใต้ที่อยู่ในชุดแดงกำลังส่งเสียงโห่ร้องเชียร์ทีมชาติตัวเองอย่างเต็มที่ จะเรียกได้ว่าอย่างบ้าคลั่งก็ได้... ในตอนนั้น กำลังใจของนักเตะอิตาลีต่างก็ตกลงไปมากๆ บางคนดูเหมือนจะเล่นอย่างถอดใจ ไม่มีสมาธิกับเกมเอาเสียเลยในช่วงต่อเวลาพิเศษ
ต่อมาไม่นาน อิตาลีก็ต้องเหลือผู้เล่นเพียงแค่สิบคน เมื่อหัวใจในเกมรุกของทีมอย่างฟรานเชสโก้ ต๊อตติ มาโดนไล่ออกจากสนามอย่างน่าคลืบแคลงใจ ทำให้กำลังใจของนักเตะแดนโสมยิ่งเพิ่มสูงขึ้น พวกเขาวิ่งสู้ฟัดกัดไม่ปล่อยทุกจังหวะ จนอิตาลีเสียศูนย์ แต่อิตาลีเองก็มีโอกาสทำประตูสองสามครั้ง แต่ก็พลาดไปหมด จนมาถึงช่วงเวลานาทีที่ 117 ซึ่งเหลืออีกเพียงสามนาทีเท่านั้นทั้งสองทีมก็จะต้องดวลจุดโทษตัดสินกัน...
เกาหลีใต้ตัดบนได้และทำเกมขึ้นมาทางด้านซ้าย... และโยนด้วยเท้าขวาโค้งเข้ามาในกรอบเขตโทษ... ผมยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ดี... ผมคิดว่าทิศทางของลูกบอลที่พุ่งไปในกรอบเขตโทษช่างดูอันตรายเหลือเกิน ผมกลัวมากว่ามันจะพุ่งไปเข้าหัวนักเตะเกาหลี ตอนนั้นผมเห็น อาห์น จุง วาน กำลังจะเทคตัวแย่งโหม่งกับเปาโล มัลดินี่ กัปตันทีมอิตาลี...
อาห์น จุง วาน เทคตัวได้เหนือกว่ามัลดินี่ และลูกโหม่งของเขาก็พุ่งลงพื้นเข้าเสียบเสาสองของประตูชนิดที่บุฟฟ่อนได้แต่เหลียวหน้ามอง...
นักเตะเกาหลีใต้วิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปที่มุมธง ไม่รู้เอาแรงจากไหนมาวิ่งกัน พวกเขากอดกันกลม และนอนทับอาห์น จุง วาน ฮีโร่ผู้ทำประตูโกลเด้นโกลให้กับทีม ส่วนนักเตะอิตาลีนั้นอยู่ในอารมณ์ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง พวกเขาดูหมดเรี่ยวหมดแรงและซึมเศร้า บางคนนอนแผ่หลาอยู่ในสนาม บางคนนั่งเซ็งหมดอาลัยตายอยาก หลายคนร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย ผมเองก็อยู่ในอารมณ์เดียวกัน...
ฟุตบอลโลกครั้งที่สามของผม จบลงด้วยน้ำตาอีกครั้ง ผมคิดในใจว่า ผมเชียร์ทีมๆนี้มาแปดปีเต็ม ทำไมถึงต้องอกหักซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกนานไหม... ถึงทีมจะแพ้ผมก็ไม่ว่า ถ้าพวกเขาเล่นได้อย่างประทับใจ แต่นี่ฟอร์มการเล่นก็ไม่ดีไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย... ผมแอบคิดว่า หรือเราจะเปลี่ยนทีมเชียร์ดีไหมนะ...
(โปรดติดตามตอนจบ เร็วๆนี้)
ทันทีที่ผู้ตัดสินชาวอาร์เจนติน่าเป่านกหวีดหมดเวลา 90 นาทีที่สนามโอลิมปิก สเตเดียม กรุงเบอร์ลิน ภายในหัวสมองของผมมีภาพความทรงจำของฟุตบอลโลกครั้งก่อนๆปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน พร้อมๆกับความคิดในแง่ร้ายว่า หรือฟุตบอลโลกครั้งนี้อาจจะเป็นอีกครั้งที่ผมจะต้อง “อกหัก” กับทีมอัซซูรี่...
[1]
ฟุตบอลโลกของผมเริ่มต้นขึ้นเมื่อสิบสองปีที่แล้ว ตอนนั้นผมเรียนอยู่ชั้น ป.4 ซึ่งเป็นช่วงที่ผมเพิ่งเริ่มเล่นฟุตบอลอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ ปีนั้นเป็นปีที่มีการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกขึ้นที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งครูประจำชั้นของผม (ชื่อครูบุปผา) ก็ได้ตอบรับกระแสเวิล์ดคัพฟีเวอร์ด้วยการจัดให้มีการทายผลฟุตบอลโลกขึ้นภายในห้องเรียนของเรา โดยผมและเพื่อนๆแต่ละคนต้องเลือกทายทีมชาติหนึ่งทีมที่เราคิดว่าจะเป็นแชมป์โลก ถ้าทายถูกก็มีโอกาสได้รางวัลที่คุณครูเตรียมไว้ให้ ถ้าผมจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะมีรางวัลอยู่ห้าชิ้นด้วยกัน
ตอนนั้น ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเลือกทายและเลือกเชียร์ทีมไหนดี จำได้ว่าเพื่อนๆเกินครึ่งห้องจะเลือกทีมแซมบ้า บราซิลกัน บางคนก็เลือกอาร์เจนติน่า บางคนก็เยอรมัน ผมเองไม่แน่ใจว่าจะเลือกทีมไหนดี เลยไปซื้อหนังสือคู่มือบอลโลกว่าพลิกอ่านดู ก็ทำให้รู้จักทีมต่างๆได้ดีขึ้น สุดท้ายแล้ว ผมก็เลือกเชียร์ทีมชาติอิตาลี ซึ่งในห้องเรียนผมนั้นมีไม่ถึงห้าคนด้วยซ้ำที่เลือกเชียร์ทีมนี้
ทำไมตอนนั้นผมถึงเลือกเชียร์อิตาลี? ผมตอบตามตรง... ผมจำไม่ได้จริงๆ
อาจจะเป็นเพราะสะดุดตากับชุดแข่งสีน้ำเงินสวย อาจเป็นเพราะลีลาการเล่นของไอ้หนุ่มผมเปียคนนั้นผู้มีนามว่า “โรแบร์โต้ บักโจ้” อาจเป็นเพราะผมได้ยินชื่อนักเตะอิตาเลียนแล้วรู้สึกว่ามันเท่และแปลกดี อาจเป็นเพราะผมอยากแตกต่างจากเพื่อนคนอื่นๆที่เลือกทีมอย่างบราซิล อาจเป็นเพราะอิตาลีเป็นหนึ่งในน้อยทีมที่เคยได้แชมป์บอลโลกมาถึงสามสมัย หรืออาจเป็นเพราะทุกๆเหตุผลที่พูดมานี้รวมๆกันก็เป็นได้
เอาเถอะครับ... สุดท้ายแล้วผมก็เลือกเชียร์ทีมอัซซูรี่ (แปลว่า สีน้ำเงิน) และเฝ้าติดตามชมการเล่นของทีมๆนี้ตลอดทุกนัด เอาแค่รอบแรก ผมก็ต้องลุ้นแทบตายกว่าอิตาลีจะผ่านเข้าไปสู่รอบสองได้แบบทุลักทุเล เพราะอิตาลีโชว์ฟอร์มได้ไม่ดีเลย จบรอบแรกนั้นทั้งสี่ทีมในกลุ่มของอิตาลีมีคะแนนเท่ากันทุกทีมคือสี่คะแนน แต่ดูจากประตูได้เสียจะพบว่าอิตาลีอยู่ที่สาม แต่อิตาลีก็ยังได้เข้ารอบในฐานะอันดับสามที่มีคะแนนดีที่สุด (ตอนนั้นฟุตบอลโลกมี 24 ทีมเข้าร่วมแข่งขัน ทำให้ทีมอันดับสามของสองกลุ่มที่มีคะแนนดีที่สุดจะได้ผ่านรอบแรก)
หลังจากผ่านรอบแรกมาได้อย่างกระท่อนกระแท่น อิตาลีภายใต้โค้ชอาริโก้ ซาคคี่ ก็ต้องโคจรมาพบกับ “อินทรีมรกต” ไนจีเรีย ซึ่งโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในรอบแรก ปรากฏว่าอิตาลีอาศัยความเขี้ยวชนะไปด้วยสกอร์ 2-1 โดยยิงประตูชัยได้ในช่วงท้ายเกม (หรือช่วงต่อเวลาพิเศษ ผมไม่แน่ใจ) รอบแปดทีมอิตาลีเจอกับทีมชาติสเปน ปรากฏว่าอิตาลีเฉือนชนะไปได้อีก 2-1 จากประตูชัยของบักโจ้ในช่วงก่อนจะหมดเวลาไม่กี่อึดใจ
ลูกยิงลูกนั้นของบักโจ้ทำให้ผมยิ่งชื่นชอบทีมอัซซูรี่มากขึ้นไปอีก เวลาเตะบอลกับเพื่อนผมก็จะชอบเลียนแบบลีลาการเล่นแบบเขา จนเพื่อนๆพากันเรียกผมว่าบักโจ้ ทำเอาผมปลื้มเอามากๆ
รอบรองฯ อิตาลีเข้าไปพบกับม้ามืดตัวจริงของทัวร์นาเมนต์ นั่นคือ ทีมชาติบัลแกเรีย ซึ่งผ่านแชมป์เก่าเยอรมันมาได้ในรอบแปดทีม บัลแกเรียมีซูเปอร์สตาร์ระดับโลกคือ ฮริสโต้ สตอยคอฟ ซึ่งผมเห็นว่าเขาเป็นสุดยอดอัจฉริยะโลกลูกหนังคนหนึ่งในยุค 1990s ในการเจอกันวันนั้น โรแบร์โต้ บักโจ้ทำสองประตูช่วยให้อิตาลีเอาชนะไปได้ 2-1 ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ ทั้งๆที่เกือบจะตกรอบแรกอยู่รอมร่อ
นัดชิงชนะเลิศ ผมเข้านอนแต่หัวค่ำและตื่นขึ้นมาดูเกมกลางดึก เพราะวันรุ่งขึ้นจะต้องไปโรงเรียน เกมนัดนั้นอิตาลีสู้บราซิลไม่ได้จริงๆ อิตาลีได้แต่ตั้งรับเกือบทั้งเกม มีจังหวะสวนกลับอยู่บ้างแต่ก็น้อยมาก แต่เกมรับของอิตาลีก็ยังเหนียวแน่นสมราคา สามารถยันเกมรุกของบราซิลที่มีทั้งโรมาริโอและเบเบโต้ไว้ได้จนครบ 120 นาที ต้องตัดสินกันด้วยการยิงจุดโทษ
ผลปรากฏว่าอิตาลียิงจุดโทษสู้ทีมแซมบ้าไม่ได้ แพ้ไปในที่สุดหลังจากที่โรแบร์โต้ บักโจ้ ยิงจุดโทษลูกสุดท้ายข้ามคานไปแบบเหลือเชื่อ... ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ น้ำตาไหลซึมออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ผม “อิน” มากๆกับช่วงเวลาแห่งความซึมเศร้าของนักเตะอิตาเลียน โดยเฉพาะกับโรแบร์โต้ บักโจ้ ผู้ซึ่งยืนเท้าเอวอย่างหมดอาลัยและร้องไห้ออกมาหลังพลาดจุดโทษ
อิตาลีแพ้จุดโทษอีกครั้ง หลังจากที่สี่ปีที่แล้วที่อิตาลีเป็นเจ้าภาพ พวกเขาก็แพ้จุดโทษอาร์เจนติน่าในรอบรองชนะเลิศ
ผมร้องไห้ แต่ผมก็ไม่โทษนักเตะอิตาเลียน ผมประทับใจกับการเล่นของบักโจ้และนักเตะอิตาเลียนทุกคนในทัวร์นาเมนต์นั้น ไม่ว่าจะเป็นบาเรซี่, โดนาโดนี่, มัสซาโร่, ดิโน่ บักโจ้, ปายูก้า, อัลแบร์ตินี่, นิโกล่า แบร์ตี้ และคนอื่นๆ
ผมรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งที่พวกเขาทำให้ผมมีช่วงเวลาที่ตื่นเต้น มีช่วงเวลาที่ผมได้ลุ้นระทึกจนใจผมเต้นตุบตุบๆ มีช่วงเวลาแห่งความสุขจากการได้ชัยชนะ มีช่วงเวลาที่ผมได้ “เฮ” ดังๆชนิดที่ทำให้คนอื่นๆในบ้านสะดุ้งตื่นขึ้นมาได้...
ผมขอบคุณทีมชาติอิตาลีและขอบคุณฟุตบอลโลกที่ได้มอบความรู้สึกเหล่านี้ให้กับผม... เป็นความรู้สึกที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน... ถึงแม้ตอนจบจะเต็มไปด้วยความเศร้าจากความพ่ายแพ้ แต่ผมก็บอกกับตัวเองว่า จะตามเชียร์ทีมอิตาลีต่อไป และจะรอวันที่อิตาลีได้ลิ้มรสชัยชนะในที่สุด
[2]
สี่ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก ฟุตบอลโลกปี 1998 จัดขึ้นที่ฝรั่งเศส ปีนี้เป็นปีแรกที่มีทีมเข้าร่วมรอบสุดท้ายมากถึง 32 ทีม ตามนโยบายของโจฮัว ฮาเวาลานจ์ ประธานฟีฟ่าซึ่งต้องการให้ประเทศต่างๆในโลกได้เข้าถึงกีฬาฟุตบอลอย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น ซึ่งจุดนี้ผมเห็นว่าเป็นก้าวสำคัญของฟีฟ่าที่ได้ทำให้เกมฟุตบอลกลายเป็นเกมกีฬาของมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง
ฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นฟุตบอลโลกที่ไม่ประทับใจผมเท่ากับบอลโลกครั้งก่อน อิตาลีทีมรักของผมอยู่ภายใต้การทำทีมของเซซาเร่ มัลดินี่ บิดาของแบ๊กซ้ายระดับตำนานอย่าง เปาโล มัลดินี่ อิตาลีผ่านรอบแรกมาได้ด้วยการเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่ม รอบสองเจอกับนอร์เวย์ ปรากฏว่าเอาชนะไปได้ 1-0 จากลูกยิงของคริสเตียน วิเอรี่ ศูนย์หน้าร่างใหญ่ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงทอปฟอร์ม
รอบแปดทีมสุดท้าย อิตาลีเจอศึกหนักกับเจ้าภาพฝรั่งเศส เกมดำเนินไปอย่างค่อนข้างน่าเบื่อ ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายเปิดเกมบุกได้มากกว่าแต่ก็เจาะแผงหลังอิตาลีไม่ได้ ครบ 120 นาทีต้องดวลจุดโทษตัดสิน
นี่เป็นการดวลจุดโทษตัดสินในฟุตบอลโลกสามครั้งติดต่อกันของอิตาลี สองครั้งที่ผ่านมาอิตาลีแพ้มาทั้งสองครั้ง มาครั้งนี้ผมหวังว่าพวกเขาจะชนะบ้าง แต่แล้วก็เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกกับอิตาลีอีกครั้ง เมื่อพวกเขาพลาดท่าเป็นครั้งที่สามติดต่อกัน ต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านไปในที่สุด...
ฟุตบอลโลกปี 94 และ 98 ซึ่งเป็นฟุตบอลโลกสองสมัยแรกของผม จบลงด้วยความผิดหวัง อิตาลีไม่ได้แพ้ในเกมปกติ แต่แพ้จากการดวลจุดโทษตัดสินทั้งสองครั้ง แต่ผมก็ยังบอกกับตัวเองว่าจะยังตามเชียร์ทีมๆนี้ต่อไปในฟุตบอลโลกครั้งหน้าซึ่งจะจัดขึ้นในทวีปเอเชียเป็นครั้งแรก
[3]
ฟุตบอลโลกปี 2002 เป็นครั้งแรกที่จัดในเอเชียและเป็นครั้งแรกที่มีเจ้าภาพร่วมกันสองประเทศคือ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
อิตาลีปีนี้อยู่ภายใต้การนำของโจวานนี่ ตราปัตโตนี่ โค้ชจอมเก๋าผู้เคยประสบความสำเร็จในระดับสโมสรมามากมาย ก่อนฟุตบอลโลกเริ่มขึ้น ผมไม่มั่นใจเลยว่าอิตาลีจะไปได้ไกลในบอลโลกครั้งนี้ เพราะโดยส่วนตัวแล้วไม่ชอบการทำทีมของตราปัตโตนี่ที่เน้นเกมรับมากจนเกินควร ทั้งๆที่อิตาลีชุดนี้มีนักเตะเทคนิคสูงหลายคนอยู่ในทีม เช่น วิเอรี่, ต๊อตติ และเดล ปิเอโร่
อิตาลีประเดิมสนามนัดแรกอย่างสวยงามด้วยการเอาชนะเอกวาดอร์ไปได้แบบสบายๆ 2-0 ซึ่งทั้งสองลูกเกิดขึ้นในครึ่งแรก อย่างไรก็ตาม ฟอร์มการเล่นในครึ่งหลังของอิตาลีทำให้ผมรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก เพราะเล่นเหมือนไปเรื่อยๆ ไม่ตั้งใจเล่น ไม่ค่อยจะเปิดเกมรุก หรือเวลาเปิดเกมรุกก็มักจะทำได้ไม่ดี จังหวะขาดๆเกินๆอยู่ตลอด
พอมานัดที่สอง อิตาลีต้องพบกับโครเอเชีย ซึ่งนัดนั้นอิตาลีเล่นกันได้แย่มาก และแพ้ไปในที่สุด 1-2 โดยเสียประตูที่สองจากความผิดพลาดของมาร์โก มาเตรัซซี่ ผู้ได้รับการขนามนามว่าเป็น “บ่อน้ำมัน” ในแผงหลังของทีม จากความพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำให้อิตาลีต้องพยายามเก็บชัยชนะให้ได้ในนัดสุดท้ายที่จะพบกับเม็กซิโก ไม่อย่างนั้นก็มีโอกาสสูงที่จะต้องเก็บของกลับบ้านเร็วกว่ากำหนด
นัดสุดท้ายกับเม็กซิโก อิตาลียังเล่นได้ไม่ประทับใจเช่นเดิม โดยโดนเม็กซิโกยิงนำไปก่อนในครึ่งแรก ตอนนั้นอิตาลีต้องการประตูอีกอย่างน้อยหนึ่งลูกเพื่อตีเสมอให้ได้ แล้วไปลุ้นผลอีกคู่ให้โครเอเชียแพ้เอกวาดอร์ ซึ่งปรากฏว่าเดล ปิเอโร่ยิงประตูตีเสมอให้อิตาลีได้สำเร็จในช่วงห้านาทีสุดท้ายก่อนหมดเวลา ส่วนอีกคู่โครเอเชียดันพลาดท่าพ่ายต่อเอกวาดอร์ไป 0-1 ทำให้อิตาลีได้ผ่านเข้ารอบสองไปอย่างทุลักทุเลและไม่น่าประทับใจที่สุด
ในรอบสอง อิตาลีต้องพบกับเจ้าภาพร่วมคือเกาหลีใต้ ซึ่งก่อนเกมผมมองว่าอิตาลีโชคดีมากที่เจอเกาหลีใต้ เพราะเทคนิคและความสามารถเฉพาะตัวของอิตาลีเหนือกว่านักเตะเกาหลีใต้มาก อิตาลีน่าจะผ่านไปได้ ซึ่งอิตาลีก็เกือบจะทำได้สำเร็จ เพราะได้ประตูออกนำไปก่อนจากวิเอรี่ตั้งแต่นาทีที่ 18 แต่หลังจากนั้น อิตาลีมีโอกาสปิดบัญชีตอกฝาโลงเกาหลีใต้แต่ก็ทำไม่ได้ จนเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงนาทีที่ 88 หัวจิตหัวใจของผมก็แทบจะหล่นตุ๊บลงไปอยู่ที่เท้า...
โซล คี เฮียน เติมขึ้นมายิงผ่านมือบุฟฟ่อนเข้าไปชนิดที่ผมและนักเตะอิตาลีทุกคนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ตอนนั้นบรรยากาศภายในสนามมันเหมือนนรกของนักเตะอิตาลีดีๆนี่เอง เพราะแฟนบอลเกาหลีใต้ที่อยู่ในชุดแดงกำลังส่งเสียงโห่ร้องเชียร์ทีมชาติตัวเองอย่างเต็มที่ จะเรียกได้ว่าอย่างบ้าคลั่งก็ได้... ในตอนนั้น กำลังใจของนักเตะอิตาลีต่างก็ตกลงไปมากๆ บางคนดูเหมือนจะเล่นอย่างถอดใจ ไม่มีสมาธิกับเกมเอาเสียเลยในช่วงต่อเวลาพิเศษ
ต่อมาไม่นาน อิตาลีก็ต้องเหลือผู้เล่นเพียงแค่สิบคน เมื่อหัวใจในเกมรุกของทีมอย่างฟรานเชสโก้ ต๊อตติ มาโดนไล่ออกจากสนามอย่างน่าคลืบแคลงใจ ทำให้กำลังใจของนักเตะแดนโสมยิ่งเพิ่มสูงขึ้น พวกเขาวิ่งสู้ฟัดกัดไม่ปล่อยทุกจังหวะ จนอิตาลีเสียศูนย์ แต่อิตาลีเองก็มีโอกาสทำประตูสองสามครั้ง แต่ก็พลาดไปหมด จนมาถึงช่วงเวลานาทีที่ 117 ซึ่งเหลืออีกเพียงสามนาทีเท่านั้นทั้งสองทีมก็จะต้องดวลจุดโทษตัดสินกัน...
เกาหลีใต้ตัดบนได้และทำเกมขึ้นมาทางด้านซ้าย... และโยนด้วยเท้าขวาโค้งเข้ามาในกรอบเขตโทษ... ผมยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ดี... ผมคิดว่าทิศทางของลูกบอลที่พุ่งไปในกรอบเขตโทษช่างดูอันตรายเหลือเกิน ผมกลัวมากว่ามันจะพุ่งไปเข้าหัวนักเตะเกาหลี ตอนนั้นผมเห็น อาห์น จุง วาน กำลังจะเทคตัวแย่งโหม่งกับเปาโล มัลดินี่ กัปตันทีมอิตาลี...
อาห์น จุง วาน เทคตัวได้เหนือกว่ามัลดินี่ และลูกโหม่งของเขาก็พุ่งลงพื้นเข้าเสียบเสาสองของประตูชนิดที่บุฟฟ่อนได้แต่เหลียวหน้ามอง...
นักเตะเกาหลีใต้วิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปที่มุมธง ไม่รู้เอาแรงจากไหนมาวิ่งกัน พวกเขากอดกันกลม และนอนทับอาห์น จุง วาน ฮีโร่ผู้ทำประตูโกลเด้นโกลให้กับทีม ส่วนนักเตะอิตาลีนั้นอยู่ในอารมณ์ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง พวกเขาดูหมดเรี่ยวหมดแรงและซึมเศร้า บางคนนอนแผ่หลาอยู่ในสนาม บางคนนั่งเซ็งหมดอาลัยตายอยาก หลายคนร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย ผมเองก็อยู่ในอารมณ์เดียวกัน...
ฟุตบอลโลกครั้งที่สามของผม จบลงด้วยน้ำตาอีกครั้ง ผมคิดในใจว่า ผมเชียร์ทีมๆนี้มาแปดปีเต็ม ทำไมถึงต้องอกหักซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกนานไหม... ถึงทีมจะแพ้ผมก็ไม่ว่า ถ้าพวกเขาเล่นได้อย่างประทับใจ แต่นี่ฟอร์มการเล่นก็ไม่ดีไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย... ผมแอบคิดว่า หรือเราจะเปลี่ยนทีมเชียร์ดีไหมนะ...
(โปรดติดตามตอนจบ เร็วๆนี้)
Tuesday, January 31, 2006
Book Review - "ชีวิตภาคทฤษฎี"
หลังจากหายหน้าหายตาไปนานมากๆ ผมขอกลับมารายงานตัวอีกครั้งด้วยงาน book review ชิ้นแรกในชีวิต (จริงๆแล้วงานนี้เขียนเพื่อลงในหนังสือรุ่น BE 10)
กลับมาครั้งนี้ผมเองก็ยังไม่รู้ตัวเองเหมือนกันครับว่าจะเขียนบล็อกอย่างต่อเนื่องหรือเปล่า เพราะห่างเหินไปนาน พอกลับมาเขียนรู้สึกว่ามันจะไม่ 'flow' เหมือนแต่ก่อน แถมช่วงนี้ต้องให้เวลากับตัวเองเพื่อคิดถึงอนาคตข้างหน้าว่าเรียนจบแล้วจะก้าวเดินไปในเส้นทางใดต่อไป
หวังว่าจะไม่สายเกินไปหากจะขอกล่าวว่า สวัสดีปีใหม่ทั้งแบบไทยและจีนนะครับ
........................
Book Review - "ชีวิตภาคทฤษฎี" (โดย วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล)
ทุกวันนี้ หากคุณต้องการหางานเขียนแนววิพากษ์สังคมที่ดีๆอ่าน ก็คงจะหาอ่านได้ไม่ยากเย็นนัก เพราะมีนักคิดนักเขียนเก่งๆหลายท่านที่ผลิตงานทำนองนี้ออกมาอยู่เป็นประจำ
แต่ถ้าจะหานักคิดนักเขียนรุ่นใหม่สักคนที่อายุเพิ่งจะขึ้นเลขสองได้ไม่นานแต่มีความคิดความอ่านเกินวัย สามารถวิพากษ์สังคมรอบตัวได้อย่างเข้มข้นและเร้าใจแล้ว ดูเหมือนว่าจะหายากเสียเหลือเกิน
“สิงห์” วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล ลูกชายคนที่สองของอาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล และจิระนันท์ พิตรปรีชา คือหนึ่งในกลุ่มนักคิดนักเขียนรุ่นใหม่ที่หาได้ยากกลุ่มนั้น
“ชีวิตภาคทฤษฎี” หรือ “Theory of Life” คือหนังสือรวมเล่มบทความเล่มแรกของสิงห์ ผมเองเป็นรุ่นพี่ร่วมคณะที่มิได้สนิทสนมกับสิงห์มากมายอะไร แต่ผมกลับได้ทำความรู้จักกับตัวตนของเขาผ่านงานเขียนในหนังสือเล่มนี้
งานเขียนของสิงห์น่าสนใจและมีพลังดึงดูดคนอ่านอยู่มากพอตัว เพราะงานของเขามีพื้นฐานมาจากการสังเกต การตั้งคำถาม และการค้นหาคำตอบต่างๆนานาของปริศนาที่สลับซับซ้อนที่เรียกว่า “ชีวิต”
“...ว่างๆ ผมก็ไปเดินที่สยามฯ ผมเฝ้ามอง... นานๆครั้งผมก็เจอสิ่งที่ผมสงสัย ไม่เข้าใจ หรือไม่เห็นด้วย
ผมจึงตั้งคำถาม... ว่างๆ ผมก็เขียนหนังสือเกี่ยวกับคำถามเหล่านั้น...”
สิงห์เขียนหนังสือด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ตรงไปตรงมา คิดอย่างไรก็เขียนออกมาอย่างนั้น อ่านแล้วจึงรู้สึกสนุก เป็นกันเอง และไม่เบื่อ เขาถ่ายทอดความคิดผ่านตัวหนังสือได้ “เนียน” และ “กลมกล่อม” อีกทั้งสไตล์การเขียนของเขาก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร
ที่สำคัญ สไตล์การเขียนที่เป็นตัวของตัวเองนี้มาพร้อมกับ “เนื้อหา” ของงานที่โดดเด่น เข้มข้น กระตุกต่อมความคิด และกระชากความรู้สึกของคนอ่านได้เสมอ
เขามักจะตั้งคำถามง่ายๆแต่น่าสนใจ เช่น ทำไมคนเราต้องมีเงิน? ทำไม “โฆษณา” จึงเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด? สิทธิเสรีภาพคืออะไรและเอาไว้ใช้ทำอะไร? เด็กแนวคืออะไรและมาจากไหน? ฯลฯ
เขามักนำเหตุการณ์จริงที่ได้พบเจอมาในชีวิตมาขบคิดถึง “เหตุและผล” ของเหตุการณ์เหล่านั้นอย่างลึกซึ้งถึงแก่น แล้วถ่ายทอดออกมาผ่านงานเขียนได้อย่างน่าประทับใจและให้ข้อคิดที่ดีแก่ผู้อ่าน
เขาวิพากษ์วัฒนธรรมบริโภคนิยมในระบบทุนนิยมได้อย่างสนุกเข้มข้น โดยมีตัวอย่างจากชีวิตจริงของเขาประกอบเสมอ อ่านงานของเขาแล้วรู้สึกว่า เขามีประสบการณ์เผชิญกับโลกมามากกว่าเด็ก (ในเมือง) ส่วนใหญ่ในวัยเดียวกันยิ่งนัก และคงไม่เป็นการเกินเลยไปหากจะกล่าวว่า เขามีประสบการณ์ผ่านโลกมามากกว่ารุ่นพี่อย่างผมเสียอีก
อ่านหนังสือของเขาจบแล้ว ผมอาจไม่เห็นด้วยกับบางสิ่งที่เขาเขียน แต่ผมรู้สึกหัวใจพองโตยิ่งนัก พองโตเพราะงานเขียนของเขาได้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างแรงกล้าของเขาที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้เกิดขึ้นแก่สังคมนี้ สังคมที่นับวันผู้คนยิ่งเห็นแก่ตัวและนับถือวัตถุมากกว่าคุณธรรมยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งเมื่อได้อ่านบันทึกประสบการณ์การเป็นผู้นำค่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิที่พังงาของสิงห์ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ผมเชื่อมั่นว่า งานเขียนของเขามีพลังมากเกินพอที่จะสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่คนอื่นๆในสังคมไทย และกระตุ้นจิตสำนึกทางสังคมของคนรุ่นใหม่เหล่านี้ ให้พวกเขารู้จักคิดถึงผู้อื่นและคิดที่จะทำอะไรดีๆเพื่อตอบแทนสังคมที่ตัวเองเติบโตขึ้นมามากขึ้น ไม่ใช่เอาแต่หมกวุ่นคิดถึงแต่เรื่องหาความสุขให้ตัวเองเพียงฝ่ายเดียว
เหมือนที่สิงห์ได้เขียนไว้ใน “ชีวิตภาคทฤษฎี” ตอนบันทึกจากพังงา (ฉบับสุดท้าย) ว่า
“...ทุกๆคนมีคุณค่า คุณค่าที่ได้มาจาการ “กรำ” งานร่วมกับเพื่อนฝูง มีคุณค่ากับสังคม มีคุณค่ากับคนรอบข้าง และที่สำคัญที่สุด ตระหนักได้ถึงคุณค่าของตัวเอง ตระหนักได้ว่าเราไม่ได้เกิดมาเป็นเพียงแค่ตัวหมากที่ต้องเดินไปตามเกมที่สังคมวางไว้ เกิดมาเพียงแค่เพื่อเรียนหนังสือ กินข้าว โตมาไปทำงาน แต่งงาน มีลูก และท้ายสุดก็ตายจากไปพร้อมกับทุกๆสิ่งที่ไขว่คว้าหามาได้ในระหว่างที่มีชีวิต...
...จริงๆแล้ว สิ่งที่พวกเราสร้างขึ้นภายในระยะเวลาสิบวัน (ที่พังงา) นี้มันไม่ได้สำคัญอะไรเลย หากแต่เป็นหนทางที่พวกเราเลือกจะเดินในชีวิตที่เหลืออยู่ต่างหากที่สำคัญที่สุด เพราะนั่นหมายถึงระยะเวลายาวนานเป็นสิบๆปีที่รออยู่ข้างหน้า...
...เราจะเลือกเป็นผู้ให้เมื่อสามารถทำได้หรือไม่ เราจะเสียสละเวลาที่ได้รับมาสำหรับกอบโกยเพื่อสิ่งอื่นได้ไหม ...”
คำตอบของสิงห์...คุณคงรู้แล้ว
แล้วคำตอบของคุณล่ะ เป็นเช่นไร?
กลับมาครั้งนี้ผมเองก็ยังไม่รู้ตัวเองเหมือนกันครับว่าจะเขียนบล็อกอย่างต่อเนื่องหรือเปล่า เพราะห่างเหินไปนาน พอกลับมาเขียนรู้สึกว่ามันจะไม่ 'flow' เหมือนแต่ก่อน แถมช่วงนี้ต้องให้เวลากับตัวเองเพื่อคิดถึงอนาคตข้างหน้าว่าเรียนจบแล้วจะก้าวเดินไปในเส้นทางใดต่อไป
หวังว่าจะไม่สายเกินไปหากจะขอกล่าวว่า สวัสดีปีใหม่ทั้งแบบไทยและจีนนะครับ
........................
Book Review - "ชีวิตภาคทฤษฎี" (โดย วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล)
ทุกวันนี้ หากคุณต้องการหางานเขียนแนววิพากษ์สังคมที่ดีๆอ่าน ก็คงจะหาอ่านได้ไม่ยากเย็นนัก เพราะมีนักคิดนักเขียนเก่งๆหลายท่านที่ผลิตงานทำนองนี้ออกมาอยู่เป็นประจำ
แต่ถ้าจะหานักคิดนักเขียนรุ่นใหม่สักคนที่อายุเพิ่งจะขึ้นเลขสองได้ไม่นานแต่มีความคิดความอ่านเกินวัย สามารถวิพากษ์สังคมรอบตัวได้อย่างเข้มข้นและเร้าใจแล้ว ดูเหมือนว่าจะหายากเสียเหลือเกิน
“สิงห์” วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล ลูกชายคนที่สองของอาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล และจิระนันท์ พิตรปรีชา คือหนึ่งในกลุ่มนักคิดนักเขียนรุ่นใหม่ที่หาได้ยากกลุ่มนั้น
“ชีวิตภาคทฤษฎี” หรือ “Theory of Life” คือหนังสือรวมเล่มบทความเล่มแรกของสิงห์ ผมเองเป็นรุ่นพี่ร่วมคณะที่มิได้สนิทสนมกับสิงห์มากมายอะไร แต่ผมกลับได้ทำความรู้จักกับตัวตนของเขาผ่านงานเขียนในหนังสือเล่มนี้
งานเขียนของสิงห์น่าสนใจและมีพลังดึงดูดคนอ่านอยู่มากพอตัว เพราะงานของเขามีพื้นฐานมาจากการสังเกต การตั้งคำถาม และการค้นหาคำตอบต่างๆนานาของปริศนาที่สลับซับซ้อนที่เรียกว่า “ชีวิต”
“...ว่างๆ ผมก็ไปเดินที่สยามฯ ผมเฝ้ามอง... นานๆครั้งผมก็เจอสิ่งที่ผมสงสัย ไม่เข้าใจ หรือไม่เห็นด้วย
ผมจึงตั้งคำถาม... ว่างๆ ผมก็เขียนหนังสือเกี่ยวกับคำถามเหล่านั้น...”
สิงห์เขียนหนังสือด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ตรงไปตรงมา คิดอย่างไรก็เขียนออกมาอย่างนั้น อ่านแล้วจึงรู้สึกสนุก เป็นกันเอง และไม่เบื่อ เขาถ่ายทอดความคิดผ่านตัวหนังสือได้ “เนียน” และ “กลมกล่อม” อีกทั้งสไตล์การเขียนของเขาก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร
ที่สำคัญ สไตล์การเขียนที่เป็นตัวของตัวเองนี้มาพร้อมกับ “เนื้อหา” ของงานที่โดดเด่น เข้มข้น กระตุกต่อมความคิด และกระชากความรู้สึกของคนอ่านได้เสมอ
เขามักจะตั้งคำถามง่ายๆแต่น่าสนใจ เช่น ทำไมคนเราต้องมีเงิน? ทำไม “โฆษณา” จึงเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด? สิทธิเสรีภาพคืออะไรและเอาไว้ใช้ทำอะไร? เด็กแนวคืออะไรและมาจากไหน? ฯลฯ
เขามักนำเหตุการณ์จริงที่ได้พบเจอมาในชีวิตมาขบคิดถึง “เหตุและผล” ของเหตุการณ์เหล่านั้นอย่างลึกซึ้งถึงแก่น แล้วถ่ายทอดออกมาผ่านงานเขียนได้อย่างน่าประทับใจและให้ข้อคิดที่ดีแก่ผู้อ่าน
เขาวิพากษ์วัฒนธรรมบริโภคนิยมในระบบทุนนิยมได้อย่างสนุกเข้มข้น โดยมีตัวอย่างจากชีวิตจริงของเขาประกอบเสมอ อ่านงานของเขาแล้วรู้สึกว่า เขามีประสบการณ์เผชิญกับโลกมามากกว่าเด็ก (ในเมือง) ส่วนใหญ่ในวัยเดียวกันยิ่งนัก และคงไม่เป็นการเกินเลยไปหากจะกล่าวว่า เขามีประสบการณ์ผ่านโลกมามากกว่ารุ่นพี่อย่างผมเสียอีก
อ่านหนังสือของเขาจบแล้ว ผมอาจไม่เห็นด้วยกับบางสิ่งที่เขาเขียน แต่ผมรู้สึกหัวใจพองโตยิ่งนัก พองโตเพราะงานเขียนของเขาได้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างแรงกล้าของเขาที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้เกิดขึ้นแก่สังคมนี้ สังคมที่นับวันผู้คนยิ่งเห็นแก่ตัวและนับถือวัตถุมากกว่าคุณธรรมยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งเมื่อได้อ่านบันทึกประสบการณ์การเป็นผู้นำค่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิที่พังงาของสิงห์ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ผมเชื่อมั่นว่า งานเขียนของเขามีพลังมากเกินพอที่จะสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่คนอื่นๆในสังคมไทย และกระตุ้นจิตสำนึกทางสังคมของคนรุ่นใหม่เหล่านี้ ให้พวกเขารู้จักคิดถึงผู้อื่นและคิดที่จะทำอะไรดีๆเพื่อตอบแทนสังคมที่ตัวเองเติบโตขึ้นมามากขึ้น ไม่ใช่เอาแต่หมกวุ่นคิดถึงแต่เรื่องหาความสุขให้ตัวเองเพียงฝ่ายเดียว
เหมือนที่สิงห์ได้เขียนไว้ใน “ชีวิตภาคทฤษฎี” ตอนบันทึกจากพังงา (ฉบับสุดท้าย) ว่า
“...ทุกๆคนมีคุณค่า คุณค่าที่ได้มาจาการ “กรำ” งานร่วมกับเพื่อนฝูง มีคุณค่ากับสังคม มีคุณค่ากับคนรอบข้าง และที่สำคัญที่สุด ตระหนักได้ถึงคุณค่าของตัวเอง ตระหนักได้ว่าเราไม่ได้เกิดมาเป็นเพียงแค่ตัวหมากที่ต้องเดินไปตามเกมที่สังคมวางไว้ เกิดมาเพียงแค่เพื่อเรียนหนังสือ กินข้าว โตมาไปทำงาน แต่งงาน มีลูก และท้ายสุดก็ตายจากไปพร้อมกับทุกๆสิ่งที่ไขว่คว้าหามาได้ในระหว่างที่มีชีวิต...
...จริงๆแล้ว สิ่งที่พวกเราสร้างขึ้นภายในระยะเวลาสิบวัน (ที่พังงา) นี้มันไม่ได้สำคัญอะไรเลย หากแต่เป็นหนทางที่พวกเราเลือกจะเดินในชีวิตที่เหลืออยู่ต่างหากที่สำคัญที่สุด เพราะนั่นหมายถึงระยะเวลายาวนานเป็นสิบๆปีที่รออยู่ข้างหน้า...
...เราจะเลือกเป็นผู้ให้เมื่อสามารถทำได้หรือไม่ เราจะเสียสละเวลาที่ได้รับมาสำหรับกอบโกยเพื่อสิ่งอื่นได้ไหม ...”
คำตอบของสิงห์...คุณคงรู้แล้ว
แล้วคำตอบของคุณล่ะ เป็นเช่นไร?
Subscribe to:
Posts (Atom)