Tuesday, July 05, 2005
เก้าวันกลางป่าแอฟริกาใต้ (1)
ผมไม่มีวันลืมประสบการณ์สุดแสนประทับใจครั้งนั้น...
ย้อนเวลาไปเมื่อกลางปี 2545 (หนึ่งเดือนก่อนที่ผมจะเริ่มเข้าเรียนปีหนึ่งปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์ภาคภาษาอังกฤษที่ธรรมศาสตร์) ผมมีโอกาสได้ไปเยือนประเทศแอฟริกาใต้เป็นครั้งแรก
การไปเยือนแอฟริกาใต้ของผมครั้งนี้มีความพิเศษตรงที่ผมไม่ได้ไปในฐานะนักท่องเที่ยว แต่ไปในฐานะเยาวชนค่ายสิ่งแวดล้อมที่มีชื่อว่า Cathay Pacific International Wilderness Experience
ค่ายนี้จัดขึ้นโดยสายการบินคาร์เธ่ แปซิฟิก (สายการบินประจำชาติของฮ่องกง) ที่ออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางและการออกค่ายให้ทั้งหมด โดยจัดขึ้นทุกๆปี เป็นเวลาเกือบสิบปีแล้ว
ค่ายนี้เปิดโอกาสให้เยาวชนอายุประมาณ 15-18 ปีจากหลายประเทศในเอเชียเข้าร่วม ในปีที่ผมไป มีเยาวชนกว่า 50 คน มาจาก 13 ประเทศ โดยสำนักงานคาร์เธ่ แปซิฟิกในแต่ละประเทศจะต้องเปิดรับสมัครเด็กในประเทศของตน แล้วทำการคัดเลือกเด็กเพื่อที่จะส่งไปค่ายที่แอฟริกาใต้
ในปีที่ผมสมัครนั้น สำนักงานคาร์เธ่ฯที่เมืองไทยได้ร่วมมือกับนิตยสาร Nation Junior เปิดให้เด็กไทยสมัครเข้าค่ายโดยให้เขียนเรียงความภาษาอังกฤษเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชนส่งเข้ามา
จากนั้นทางคาร์เธ่ฯและ NJ จะคัดเลือกเด็กประมาณ 30 คนที่เขียนเรียงความได้ดี ให้มาเข้าค่ายสามวันสองคืนที่โครงการพัฒนาการเกษตรที่เขาหินซ้อน จังหวัดฉะเชิงเทรา
พอตอนหลังจบค่าย ทางทีมงานคาร์เธ่และ NJ ก็จะเลือกเด็กไทย 3 คนเพื่อส่งไปเข้าค่ายจริงๆร่วมกับเด็กจากชาติอื่นๆที่แอฟริกาใต้
ผมโชคดีมากที่ผ่านการคัดเลือกทั้งสองขั้นตอน ได้เป็นหนึ่งในสามตัวแทนเยาวชนไทยไปเข้าค่ายที่แอฟริกาใต้
………
เมื่อรู้ตัวว่าได้รับคัดเลือกไปแอฟริกาใต้ ผมรู้สึกตื่นเต้นมากๆถึงมากที่สุด
ก็แหงแหละครับ จะไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไร เกิดมาผมไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าจะได้ไปเหยียบทวีปแอฟริกาเลย
เพื่อนคนไทยอีกสองคนที่ได้ไปกับผมก็คงตื่นเต้นไม่แพ้กัน คนหนึ่งชื่อไผ่ เป็นสาวน้อยร่างบางมาจากเฉลิมขวัญสตรี จังหวัดพิษณุโลก อีกหนึ่งสาวชื่อดอย อยู่เตรียมอุดมฯนี่เอง นอกจากนี้ยังมีพี่นักข่าวอีกสองคนที่จะติดตามไปทำข่าวด้วย คือพี่หยกจาก NJ และพี่มิ่งจากแพรวสุดสัปดาห์
ก่อนออกเดินทางพวกเราต้องเตรียมตัวเพื่อไปทำกิจกรรมหลายเรื่อง (เรื่องอะไรบ้างนั้นไว้เดี๋ยวผมค่อยเล่าทีเดียว) พี่ๆที่คาร์เธ่ฯโดยเฉพาะพี่แหม่ม ก็ได้คอยประสานงานและช่วยพวกเราเตรียมตัวได้ดีมาก
ถึงวันเดินทาง พวกเราห้าคนก็บินลัดฟ้าไปที่ฮ่องกงก่อน เพื่อไปรวมตัวกับเยาวชนจากชาติอื่นๆที่นั่น แล้วจึงออกบินข้ามทวีปไปแอฟริกาพร้อมๆกัน
ตอนไปถึงฮ่องกง บรรยากาศคึกคักมาก เพราะเป็นการพบกันครั้งแรกของเยาวชนห้าสิบคนจากสิบกว่าประเทศ เช่น มาเลเชีย จีน บาห์เรน ไต้หวัน สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ และฮ่องกง
พวกเราเริ่มทำความรู้จักกันและได้เดินทางไปที่ศูนย์การค้าแห่งหนึ่งใจกลางเกาะฮ่องกงเพื่อร่วมงานเปิดตัวค่ายที่นั่น งานนี้มีผู้คนที่เดินห้างอยู่สนใจมานั่งดูยืนดูกันเยอะพอสมควร
หลังงานเลิก พวกเราก็พากันไปเดินชมศูนย์กลางค้าที่ฮ่องกงอยู่เกือบสองชั่วโมง พอกลับมารวมตัวกันก็ปรากฏว่าตัวแทนของสิงคโปร์ที่มาคนเดียว เกิดป่วยกะทันหัน อาการไม่ค่อยดี จึงอดไปแอฟริกาใต้กับพวกเรา ค่ายเราเลยขาดสมาชิกไปหนึ่งคนตั้งแต่ยังอยู่ที่ฮ่องกงนี่เอง
พอตกค่ำ พวกเราก็ออกเดินทางสู่แอฟริกาใต้พร้อมๆกัน บรรยากาศบนเครื่องก็สดใสและคึกคักเป็นพิเศษ จะไม่ให้คึกคักได้อย่างไร ก็เด็กกว่าห้าสิบคนบินไปไฟลท์เดียวกัน
หลังจากนั่งเครื่องบินอยู่หลายชั่วโมง พวกเราก็มาถึงประเทศแอฟริกาใต้ในช่วงเช้า โดยเครื่องลงจอดที่สนามบินนานาชาติโยฮันเนสเบิร์ก
เมื่อเราลงจากเครื่องแล้วเดินผ่านงวงช้างเข้าสู่ตัวสนามบิน มีทีมงานค่าย 5-6 คน และเพื่อนร่วมค่ายชาวแอฟริกาใต้อีกสิบคนมาต้อนรับพวกเรา แต่ละคนดูเป็นมิตรและเป็นกันเองมาก ส่วนบรรยากาศภายในสนามบินก็คล้ายๆกับสนามบินที่อื่นๆแหละครับ (แต่ดูดีกว่าสนามบินดอนเมือง)
หลังผ่านการตรวจคนเข้าเมือง พวกเราก็เดินออกจากสนามบิน...
“อูยยยย.... หนะ... หนะ... หนาววววมากกกก....” ผมบ่นกับตัวเอง
หนาวจริงๆครับ เดินไปสั่นไป ปากก็สั่น ตัวก็สั่น ต้องรีบหยิบเสื้อหนาวมาใส่โดยเร็วก่อนที่เป็นอะไรไปก่อน
เดินสักห้านาที พวกเราก็มาถึงรถบัสที่จอดรออยู่ เอากระเป๋าสัมภาระเข้าท้องรถเสร็จ พวกเราก็ออกเดินทางสู่สถานที่จัดค่าย ที่แห่งนี้มีชื่อว่า Entabeni Game Reserve เป็นคล้ายๆกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งหนึ่งของแอฟริกาใต้
ระหว่างการเดินทาง พวกเราก็งีบหลับบ้าง คุยกันบ้าง ภูมิประเทศสองข้างทางนั้นส่วนใหญ่เป็นเนินเขาที่มีทุ่งหญ้ากว้างไกล ผ่านไปสักสองชั่วโมงรถบัสก็แวะที่สถานที่แห่งหนึ่ง
ผมไม่แน่ใจว่าที่แห่งนี้คืออะไร มันดูเหมือนบ้านพักรับรอง มีห้องโถง มีสวนและสนามหญ้าสวยๆ
ที่นี่เป็นสถานที่จัดงานต้อนรับพวกเราสู่แอฟริกาใต้ครับ มีญาติของเนลสัน แมนเดลล่า มากล่าวเปิดงาน แล้วทีมงานค่ายก็กล่าวต้อนรับอย่างเป็นทางการ มีการแนะนำทีมงานค่าย แล้วก็แบ่งพวกเราออกเป็น 5-6 กลุ่ม โดยกลุ่มของผมมีสต๊าฟฟ์ผู้หญิงชื่อ Hanneke เป็นคนดูแลรับผิดชอบ
หลังจากนั้นพวกเราก็เริ่มทำกิจกรรมละลายพฤติกรรมกันที่สนามหญ้า แล้วก็เบรกกินกาแฟกันที่สวน อ้อ.. อากาศในช่วงกลางวันก็สบายๆนะครับ ไม่ร้อนไม่หนาว กำลังดีทีเดียว
เสร็จจากนั้นพวกเราก็เดินทางกันต่อจนไปถึงที่ค่ายก็ตอนบ่ายแก่ๆเห็นจะได้ ค่ายนี้ตั้งอยู่กลางป่าแอฟริกา ซึ่งมีลักษณะเป็นทุ่งหญ้า มีต้นไม้สูงอยู่กระจัดกระจาย ไม่เหมือนกับป่าฝนเขตร้อนที่ต้นไม้ใหญ่อยู่ติดๆกัน
บริเวณค่ายมีรั้วไม้ล้อมรอบ พื้นที่ของค่ายน่าจะประมาณเกือบเท่าสนามฟุตบอล ตรงกลางค่ายมีจุดก่อกองไฟและมีเก้าอี้ล้อมรอบกองไฟเป็นวงกลม
ส่วนที่พักของพวกเราก็เป็นเต็นท์ครับ คล้ายๆกับเต็นท์ทหาร มีผ้าใบคลุมทั้งสี่ด้าน โดยผ้าใบด้านหนึ่งเปิดได้เพื่อเป็นทางเข้าออก ในหนึ่งเต็นท์ก็มี 3-4 เตียงนอน
ส่วนที่แปลกที่สุดเห็นจะเป็นห้องน้ำ ห้องน้ำหญิงกับห้องน้ำชายอยู่คนละด้านของค่าย โดยบริเวณห้องน้ำมีขนาดประมาณห้องเรียนหนึ่งห้องในโรงเรียนมัธยมบ้านเรา พื้นห้องน้ำเป็นหินก้อนเล็กๆ และมีเทปูนบ้างตรงที่อาบน้ำ ธรรมชาติดีจริงๆ
ที่สำคัญ บริเวณห้องน้ำเป็นแบบ open air ครับ คือไม่มีหลังคา มีแต่กำแพงไม้กั้นรอบบริเวณ มีอ่างล้างหน้าอยู่ 3-4 อ่าง มีห้องส้วมอยู่ 3 ห้อง (แต่ละห้องมีประตูไม้บางๆ) ส่วนที่อาบน้ำนั้น ไม่มีแบ่งเป็นห้องๆครับ เป็นที่อาบน้ำรวม มีฝักบัวอยู่ 4 ฝักเห็นจะได้ เวลาอาบก็ยืนอาบกันทีละสี่คนเรียงกันไม่มีอะไรมาขวางกั้นหรอกครับ!
ผมพักกับคนฮ่องกงและคนแอฟริกาใต้ อยู่กันสามคน เย็นวันนั้นหลังจากเอาของเข้าที่เต็นท์ของตัวเองเรียบร้อย อากาศเริ่มหนาวเย็นยิ่งขึ้น พวกเราทานข้าวกัน แต่ผมจำไม่ได้จริงๆว่าเราทานอะไรกันในมื้อนั้น
ที่ผมจำได้แม่นคือ ความทรมานในคืนแรกของผมและของใครอีกหลายๆคน...
ความทรมานที่ว่ามันคือ ความหนาวชนิดที่ผมไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน หนาวยะเยือกไปถึงก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ ทั้งๆที่ตอนนอนผมก็ใส่เสื้อหนาวเข้านอนในถุงนอน แล้วเอาผ้าห่มอีกสามชั้นห่มทับไว้ก็ยังไม่รู้สึกอุ่น
ตื่นมากลางดึกก็พบว่า ผ้าห่มสามผืนนั้นตกลงไปที่พื้นหมดแล้ว ผมเลยเอามันขึ้นมาใหม่ แล้วก็พยายามหลับตานอนท่ามกลางอากาศที่หนาวยะเยือกสุดแสนจะทน
ตื่นมาตอนเช้า อากาศยังคงหนาวจัดเหมือนเดิม เดินออกมาข้างนอกก็เห็นเพื่อนคนอื่นๆใส่เสื้อหนาว ผูกผ้าพันคอ ยืนผิงไฟกันอยู่ที่กองไฟ ผมก็ไปร่วมแจมด้วย
คุยกับเพื่อนคนไทยและเพื่อนคนอื่นๆก็ได้ความว่า เมื่อคืนนี้ทุกคนล้วนแล้วแต่ประสบกับชะตากรรมเดียวกัน คือนอนไม่ค่อยหลับ เพราะความหนาวเหน็บแทบจะขาดใจ
ตอนหลัง Hanneke ถึงได้บอกกับพวกเราว่า วิธีการนอนให้อุ่นนั้น ต้องใส่เสื้อหนาว แล้วก็ยัดผ้าห่ม 3 ผืนเข้าไปในถุงนอน แล้วก็เอาผ้าห่มผืนใหญ่ทับบนถุงนอนอีกที
เมื่อรู้วิธีการนอนที่ถูกที่ควรแล้ว คืนต่อๆมาพวกเราจึงได้นอนแบบไม่หนาว จะว่าอบอุ่นก็คงไม่ถูกต้อง เพราะมันไม่อุ่นเลย มันเย็นยะเยือก เพียงแต่มันไม่หนาวสั่น พอนอนหลับได้
ผมสงสัยเหลือเกินว่า ทำไมไม่บอกตั้งแต่คืนแรก! อาจเป็นเพราะทีมงานค่ายคงอยากจะให้เรารับรู้ถึงรสชาติความหนาวของป่าแอฟริกาสักคืนนึงก่อน
เวลาผมคิดถึงความหนาวเหน็บแบบในคืนแรกขึ้นมา มันทำให้ผมรู้สึกทึ่งและนับถือในความสามารถของบรรดาสัตว์ป่าทั้งหลาย ที่อยู่ท่ามกลางความหนาวได้โดยไม่ต้องมีผ้าห่มหรือเสื้อหนาวช่วยเลย
ข้าน้อยขอคารวะ
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
4 comments:
กลับมาเขียนซะที ให้แฟนๆรอตั้งนาน
เป็นประสบการณ์ที่เยี่ยมมากครับ คุณเป็นคนที่มีความสามารถ พร้อมกับมีโอกาศดีๆ อย่างนี้ รออ่านภาค 2 ครับ
รอแป๊บนะครับ ตอนไปค่ายตามรอยอ.ป๋วยผมดันป่วยเป็นไข้ (btw ค่ายดีมากๆครับ ประทับใจๆ) นี่กลับมาพักได้สองวัน ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว แต่ยังคงต้องขอเวลาเรียกความฟิตซักพักนึงก่อน
อีกอย่างคือตอนนี้วารสาร echo เล่มใหม่กำลังจะออกครับ เลยอาจจะยุ่งๆนิดนึงกับการวางแผงและแจกจ่ายครับ
พี่บีก้ออยากไปแอฟริกาใต้มานานแล้วค่ะ แต่ยังหาเพื่อนไปด้วยไม่ได้ อ้อ ขอบคุณนะคะที่เข้าไปอ่านงานเขียนของพี่ พี่บีเขียนเกี่ยวกับทริปไปเนปาลให้อ่านตามคำขอแล้วนะคะ
Post a Comment