Sunday, March 11, 2007

ผจญภัยเมืองลอดช่อง (1) : The Genesis

ผมเพิ่งเห็นว่า ผมได้เขียนโพสไว้โพสนึงเมื่อปีกว่าๆมาแล้ว แต่เขียนค้างไว้เกือบเสร็จ แล้ว save ไว้เป็น draft เฉยๆ ไม่ได้โพสลงบล็อก วันนี้เห็นเข้าเลยลุยเขียนต่ออีกนิดหน่อยให้เสร็จเสีย

.........

ผมจำได้ว่า ตอนผมเรียนอยู่มัธยมต้นที่โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า (น.ต.อ.น.) ผมมีความรู้เกี่ยวกับประเทศสิงคโปร์น้อยมาก

ผมรู้แต่ว่าประเทศ
เพื่อนบ้านของไทยแห่งนี้เป็นเพียงเกาะเล็กๆเกาะหนึ่งทางใต้ของมาเลเชีย มีเมืองหลวงชื่อเดียวกับประเทศ และมีชื่อเล่นว่า “เมืองลอดช่อง”

ผมรู้อยู่เท่านี้แหละครับ

ตอนนั้น ผมไม่เคยคิดไม่เคยฝันมาก่อนเลยว่า อีกไม่นาน โชคชะตาจะพัดพาชีวิตผมไปที่สิงคโปร์และให้ผมใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเป็นเวลาเกือบสามปี

---------

วันหนึ่ง ช่วงต้นปี 2542

พ่อบอกกับผมว่า มีประกาศเล็กๆลงใน Bangkok Post ว่ารัฐบาลสิงคโปร์ประกาศให้ทุนไปเรียนต่อระดับมัธยม เปิดให้นักเรียนไทยชั้นที่กำลังเรียนอยู่ ม.3-4 สมัครสอบชิงทุนได้ ชื่อทุนว่า ASEAN Secondary Scholarship (ให้ทุนนักเรียนชาติอื่นๆในอาเซียนด้วยเช่นกัน)

ทั้งพ่อและผมไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับทุนนี้มาก่อน แต่พ่อก็บอกว่าผมน่าจะลองไปสมัครสอบดู จะได้หรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ผมก็เออๆออๆตามที่พ่อบอกแหละครับ ลองสมัครสอบดูโดยไม่คิดหวังว่าจะได้ทุน คงเพราะผมก็รู้สึกมีความสุขดีอยู่แล้วที่โรงเรียน

ก่อนสอบผมแทบไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย มีเตรียมอยู่อย่างเดียวคือเรื่องศัพท์คณิตศาสตร์ภาษาอังกฤษ เพราะตัวข้อสอบทั้งสามวิชา (เลข ภาษาอังกฤษ และสอบไอคิว) เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด

การสอบจัดขึ้นที่ราชฎักสวนดุสิตครับ ผมไปถึงที่นั่นแล้วตกใจและตื่นเต้นมาก เพราะเด็กที่มาสอบเยอะเหลือเกิน ร่วมสองสามร้อยคนเห็นจะได้ บวกกับผู้ปกครองและญาติๆที่ตามมาเป็นกองเชียร์ให้ลูกหลานด้วยแล้ว ทำให้บรรยากาศในวันนั้นคึกคักมากๆ ผมเพิ่งรู้ตัวก็ตอนนี้แหละครับว่าการสอบชิงทุนอันนี้มันก็ยิ่งใหญ่ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน

หลังสอบเสร็จทั้งสามวิชาแล้ว ผมบอกกับตัวเองว่า คงไม่ติดสัมภาษณ์แน่ๆ เพราะรู้ตัวว่าทำข้อสอบภาษาอังกฤษได้น้อยมาก ข้อสอบอะไรก็ไม่รู้ยากเหลือเกิน เกิดมาไม่เคยทำข้อสอบอะไรยากเท่านี้มาก่อนเลยครับ ผมว่าทำได้น้อยกว่าครึ่งนึงของคำถามทั้งหมดแน่นอน

ส่วนนึงมีบทความให้อ่านสองหน้า แล้วถามเป็นอัตนัยทั้งนั้น แล้วยังต้องเขียน essay (เค้าถามประมาณว่า ถ้าเพื่อนคนนึงทะเลาะกับพ่อแม่แล้วหนีออกจากบ้าน เราจะบอกเพื่อนเราว่าอย่างไรให้เค้ากลับบ้าน) ผมจำได้ว่าเขียนปั่นไปสุดๆ แกรมมาร์ผิดถูกไม่สนใจเลย ลุยเขียนไปตามที่ใจคิด จำได้ว่าไม่ได้เขียนเป็นเรียงความแต่เขียนเป็นแบบบทสนทนาคุยกับเพื่อนไปเลยครับ

ส่วนเลขก็พอทำได้ แต่ก็ไม่แน่ใจเพราะมันเป็นอัตนัยต้องแสดงวิธีทำทุกข้อ ส่วนวิชาไอคิวนี่เป็นปรนัย แต่ผมดันเข้าใจผิดเรื่องเวลาที่เค้าให้ ทำไปอย่างสบายๆเอ้อระเหยลองชายเพราะนึกว่าเค้าให้เวลาหนึ่งชั่วโมง ผ่านไปสิบห้านาทีกรรมการคุมสอบเค้าบอกว่าเหลืออีกห้านาทีหมดเวลานะ อ้าว! ซวยแล้วเรา เพิ่งทำไปได้ครึ่งเดียวเอง สุดท้ายก็ทำไม่ทันไปห้าข้อ ต้องกามั่วๆไป

ต่อมาสักสองสามอาทิตย์ มีจดหมายร่อนมาจากสิงคโปร์ (ลืมบอกไปครับว่าข้อสอบที่สอบไปเค้าส่งไปให้กระทรวงศึกษาฯที่สิงคโปร์ตรวจเองเลย) ก่อนเปิดซอง ผมก็แอบลุ้นอยู่นิดๆเหมือนกันครับ แต่ก็ไม่ได้หวังอะไรมาก เพราะอย่างที่บอกไปว่าทำข้อสอบไม่ค่อยได้

ปรากฏว่าได้ไปสอบสัมภาษณ์ครับ!

พอถึงวันสอบสัมภาษณ์ที่สถานทูตสิงคโปร์ มีกรรมการสอบสามคน รู้สึกจะเป็นคนสิงคโปร์ทั้งหมด เค้าก็ถามเรื่องทั่วๆไป ทำไมอยากไปเรียนที่สิงคโปร์, เล่ากิจกรรมที่ทำที่โรงเรียนที่เราประทับใจมา, อยากทำงานอะไร (ผมบอกไปว่าอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ เพราะตอนนั้นผมชอบเรียนวิทย์มากกว่าวิชาอื่นๆ และก็เคยฝันอยากเป็นครูสอนวิทย์ในโรงเรียนมัธยม)

ตอนสัมภาษณ์นี่ผมรู้สึกว่ามันยาวนานเหลือเกิน อย่างกับไปอยู่ในห้องเป็นชั่วโมงๆ พอสัมภาษณ์เสร็จผมออกมาแม่ก็ถามว่าเค้าถามอะไรบ้าง ทำไมสัมภาษณ์นานจัง (เกือบครึ่งชม.) ผมก็บอกว่าตอบได้มั่งไม่ได้มั่ง แถมมีตอนนึงผมบอกกรรมการว่าผมได้ยินมาว่าสิงคโปร์เป็นเมืองสะอาด ไม่มีขยะ แต่ผมนึกคำว่าขยะไม่ออก ผมเลยพูดออกไปแบบนี้...

I know that Singapore is a clean city… There is no… er..er… DUST on the street!

กรรมการทั้งสามท่านปล่อยก๊ากขำกลิ้งออกมากันใหญ่ ในขณะที่ผมยังนั่งงงๆอยู่ว่าเราพูดอะไรผิดไปเหรอ (ตอนนั้นผมนึกถึงคำว่า dustbin ที่แปลว่าถังขยะครับ เพราะฉะนั้น dust ก็ต้องแปลว่าขยะสิ) มารู้ทีหลังว่า dust มันแปลว่าฝุ่น ไอ้ที่เราพูดไปน่ะมันหมายถึงสิงคโปร์สะอาดมาก ไม่มีฝุ่นบนถนนเลย! (ฮา)

สามสี่วันหลังจากการสอบสัมภาษณ์ จดหมายอีกหนึ่งฉบับร่อนมาถึงบ้าน คราวนี้ลุ้นกว่าฉบับก่อนมาก...

ปรากฏว่าเค้าตอบรับให้ทุนเราไปเรียน!

ตอนนั้นผมดีใจมาก ทั้งๆที่ไม่ได้หวังอะไรไว้ตั้งแต่แรก พ่อและแม่ผมก็ดีใจไม่แพ้กัน ผมก็ดีใจที่พ่อแม่ดีใจ (ผมรู้ว่าทั้งพ่อและแม่เครียดมามาก เพราะต้องเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจอยู่มาตลอดสองปี)

พอดีใจอยู่พักหนึ่งผมถึงค่อยเริ่มคิดขึ้นมาได้ว่า อีกไม่กี่เดือน เราจะต้องจากบ้าน จากครอบครัว จากเพื่อน จากเมืองไทย จากสิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคย จากคนที่เรารัก ไปอยู่ต่างแดนเป็นเวลาสองปีกว่าๆ แล้วจริงๆหรือ?

แล้วไปเรียนที่นู่นเราจะไปรอดมั้ย? คนที่นู่นจะเป็นอย่างไร? เราจะหาเพื่อนได้มั้ย? ฯลฯ

ความสงสัย ความกังวล ความกลัว ผุดขึ้นมาในความคิดผมเป็นระยะๆ


.........

ทุนที่ผมได้รับนั้นให้ไปเรียนสองปีคือ Secondary 3-4 แล้วพอจบสองปีก็ต้องสอบ Cambridge ‘O’ Level แต่ก่อนเข้าเรียนเค้าจะให้ไปเรียนคอร์สภาษาก่อนสามเดือน (ตุลา-ธันวา) แล้วค่อยเริ่มเรียนในโรงเรียนจริงๆตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2000

ปีที่ผมไปมีนักเรียนไทยได้ทุนทั้งหมด 11 คนครับ (หญิง 7 ชาย 4) พวกเราได้พบเจอกันอย่างเป็นทางการครั้งแรกก็ในงานแถลงข่าวที่กระทรวงต่างประเทศ เพื่อนๆที่ได้ทุนก็มีทั้งที่เรียน ม.3 และ ม.4 อยู่ มีมาจากโรงเรียนบดินทร์ฯ, สวนกุหลาบนนท์, วัฒนาวิทยาลัย, สาธิตเกษตร, สาธิตจุฬา, สตรีวิทย์, เตรียมฯน้อมฯ รวมไปถึงโรงเรียนบ้านนอกอย่างเฉลิมขวัญสตรีที่พิษณุโลก - ล้อเล่นนะออ เฉลิมขวัญเป็นโรงเรียนที่ดีมากๆ)

ต่อมา ผมก็ใช้เวลาช่วงไม่กี่เดือนที่เหลืออยู่ในเมืองไทย ไปกับการอำลาเพื่อนๆ อำลาครูอาจารย์ และเตรียมตัวเตรียมใจไปเรียนที่สิงคโปร์

ที่โรงเรียน ผอ.และอาจารย์จัดงานอำลาให้อึกทึกครึกโครมจนผมแอบรู้สึกว่ามันเว่อร์ไป ผอ.ให้ผมพูดลาเพื่อนๆและอาจารย์หน้าเสาธง (คือช่วงม.ต้นผมชอบพูดครับ หมายถึงพูดในที่ชุมชนหรือ speech นะครับ ช่วงนั้นผมได้เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งพูดอยู่บ่อยๆ หรือเวลามีงานที่โรงเรียนก็พูดหน้าเสาธงบ้าง)

ตอนพูดหน้าเสาธงลาเพื่อนๆและอาจารย์ ผมได้แต่งกลอนแปดมาสักเกือบสิบบทนะครับ เพราะรู้ว่าคงพูดอะไรไม่ออก เลยแต่งกลอนมาบอกเล่าความรู้สึกแทน ผมจำได้ว่าผมพูดกลอนไปก็น้ำตาซึมไป พอพูดเสร็จลงมาเห็นเพื่อนบางคนแอบร้องไห้... ผมก็กลั้นน้ำตาไว้เกือบไม่อยู่เหมือนกัน

หลังจากนั้นก็เพื่อนๆที่ห้องก็จัดงานเลี้ยงส่งที่ห้อง พวกเรากินกันอย่างเอร็ดอร่อย และร้องเพลงกันอย่างสนุกปนเศร้า... ผมก็ได้แต่คิดว่า "มีพบก็ต้องมีพราก มีจากก็ต้องมีเจอ" จากกันวันนี้เดี๋ยวเราต้องได้พบกันใหม่แน่นอน...

.........

เวลาผ่านมาจนถึงคืนวันก่อนขึ้นเครื่อง ผมจำได้ว่าผมไปนั่งดูดาวอยู่คนเดียวที่ระเบียงบ้าน นั่งคิดไปเรื่อยถึงอดีตและอนาคตข้างหน้า พลางบอกกับตัวเองว่า เอาล่ะ เดี๋ยวเราก็คงรู้ว่าสิงคโปร์มันจะเป็นยังไง เป็นไงเป็นกันล่ะวะ ทำให้ดีที่สุดแล้วกัน

ในที่สุด วันที่ 3 ตุลาคม 2542 ก็มาถึง หลังจากอำลาครอบครัวและญาติพี่น้องที่มาส่งกันเสร็จแล้ว พวกเราทั้ง 11 คนก็ขึ้นเครื่องบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ลัดฟ้าสู่สิงคโปร์ไปด้วยกัน

การผจญภัยของผมในเมืองลอดช่องกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว...


ป.ล. ผมไม่แน่ใจว่าจะมีโอกาส (และอารมณ์) เขียนประสบการณ์ผจญภัยตอนอยู่ที่สิงคโปร์เมื่อไหร่ เพราะที่ผ่านมาหลายๆเรื่องที่ผมเขียนก็ยังค้างตอนจบอยู่ เหอๆๆ เอาเป็นว่าวันไหนอารมณ์มันให้ผมก็จะเขียนแล้วกันครับ

3 comments:

Anonymous said...

ชอบๆๆๆ จะเขียนบ้างงงง
nostalgic มากๆๆ (link: http://dictionary.cambridge.org/define.asp?key=54222&dict=CALD )

แต่ว่า... รู้สึกว่าเรื่องช่วงระหว่างรู้ว่าได้ทุน กะตอนไปสิงคโปร์นี่ เล่าตกไปหลายเรื่องที่สำคัญๆอยู่นะ =P

Anonymous said...

ขอบคุณมากๆๆค่ะสำหรับบทความดีๆ

Anonymous said...

ขอบคุณมากๆค่ะ
บทความดีมากๆเลย
อ่านไปลุ้นไป มีไปสอบมาเหมือนกัน ยากจริงๆด้วย