Monday, May 16, 2005

เรื่องของไก่(เดือยทอง)

และแล้ว... พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ก็รูดม่านปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว

พลพรรคสิงโตน้ำเงินครามก็ประกาศความยิ่งใหญ่ให้พวกเราได้ประจักษ์กันทั่วหน้า เมื่อพวกเขาผงาดขึ้นมาคว้าแชมป์ไปครองได้แบบสบายๆ ทำคะแนนทิ้งไอ้ปืนใหญ่ 12 แต้ม ทิ้งผีแดง 18 แต้ม ทิ้งหงส์แดงถึง 37 แต้มแบบไม่เห็นฝุ่น

ส่วนทางด้านท้ายตาราง เวสต์บรอมฯ ก็โชว์ผลงานคัมแบ๊กหนีตายได้อย่างหวุดหวิด ชนิดที่ต้องลุ้นกันถึงนัดสุดท้าย ปล่อยให้พาเลซ, นอริช และทีมที่อยู่ยงคงกระพันในลีกสูงสุดมานานกว่า 27 ปีอย่างเซาแธมป์ตันต้องตกชั้นไป

อย่างนี้แหละครับเค้าถึงพูดกันว่า โลกนี้มันไม่มีอะไรแน่นอน

เมื่อฤดูกาลจบลง เดี๋ยวเราก็คงได้เห็นหลายต่อหลายคนผลิตบทวิเคราะห์ว่าด้วยความสำเร็จของเชลซี และความล้มเหลวของทีมดังอื่นๆ มาให้ได้อ่านกันมากมายเป็นแน่

ผมในฐานะสาวกไก่เดือยทอง จึงขอแหวกแนวเขียนถึงทีมสุดรักเสียบ้าง ทุกท่านจะได้เปลี่ยนบรรยากาศไปในตัวด้วย

ที่สำคัญ ผมยังมองว่าการเขียนเรื่องเกี่ยวกับสเปอร์สนั้น เป็น Pareto improvement ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนด้วย ถ้าเขียนเรื่องเชลซี แฟนผี, แฟนปืน และแฟนหงส์ (premiership-wise) คงจะไม่สบอารมณ์เป็นแน่แท้ ส่วนถ้าเขียนเรื่องของทีมที่พลาดแชมป์ แฟนๆของทีมนั้นก็คงไม่สบอารมณ์อีกเช่นกัน เพราะเหมือนถูกตอกย้ำความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฟอร์มไม่ได้เรื่อง ไม่คงเส้นคงวา ไม่ได้ลุ้นเลย ฯลฯ

เอ... นี่ผมทำให้แฟนผี แฟนหงส์ไม่สบอารมณ์หรือเปล่าครับ? จริงๆ ผมตั้งใจจะเขียนเรื่องสเปอร์สนะครับ แต่ว่ามันก็ต้องมีเกริ่นถึงภาพรวมกันเสียก่อน ก็เลยต้องเขียนเกริ่นก่อนว่าเชลซีเป็นแชมป์แบบทิ้งขาด ปืน ผี หงส์พลาดแชมป์หมด แทบไม่ได้ลุ้น ฯลฯ

โอเคครับๆ เกริ่นพอแล้ว เข้าเรื่องไก่ๆกันเลยดีกว่าครับ...


.....................................

ก่อนจะไปพูดถึงผลงานของสเปอร์สในปัจจุบัน ผมขอเล่าประวัติความเป็นมาของผมกับสเปอร์สให้ฟังคร่าวๆ ก่อนนะครับ

ผมเป็นแฟนสเปอร์สครั้งแรกก็นู่นแหละครับ ย้อนกลับไปพรีเมียร์ฤดูแรก 92-93

ตอนนั้นผมเพิ่งอายุ 8-9 ขวบได้ แต่ก็เริ่มดูบอลอังกฤษแล้วครับ จำได้ว่าช่องเจ็ดสีถ่ายทอดให้ดูกันสดๆ (ถ้าจำไม่ผิด สมัยนั้นละครหลังข่าวไม่ยาวขนาดเท่าทุกวันนี้ จึงได้ดูบอลกันสดๆ)

ผมจำไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงเลือกเชียร์สเปอร์ส... ฤดูนั้นสเปอร์สก็เล่นใช้ได้ อยู่ครึ่งบนของตาราง แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นเท่ากับแมนฯยูฯ วิลล่า และนอริช ไม่รู้ทำไมผมถึงเลือกสเปอร์สนะครับ สงสัยเสื้อสวยดี (สีขาว... สวยตรงไหนวะ!?)

ฤดูถัดๆมา ผมก็เริ่มเชียร์อย่างจริงจัง สมัยนั้นสเปอร์สมีเท็ดดี้ เชอริงแฮม, นิก บาร์มบี้, ดาร์เรน แอนเดอร์ตัน ตอนนั้นพวกนี้กำลัง peak เลยครับ

ต่อมาก็มี Klinnsmann (ไม่รู้สะกดถูกรึเปล่า) แล้วก็มีศิลปินลูกหนังอย่าง David Ginola...

ผมประทับใจนักเตะทั้งสองนี้มาก ตอนเลือกนามแฝงให้บล็อกนี้ ผมก็คิดอยู่ตั้งนานว่าจะเอาชื่อใครดี เพราะทั้งสองคนต่างก็เป็น superstar ที่แฟนไก่รักและยกย่องอย่างมาก

ผมก็ตามเชียร์ไก่เดือยทองมาฤดูแล้วฤดูเล่า ไก่ตัวนี้ก็ไม่เคยจะประสบความสำเร็จอย่างจริงๆจังๆเสียที อันดับในพรีเมียร์ที่ดีที่สุดคือที่ 7 ครับ แถมมีฤดูกาลนึงต้องหนีตกชั้นแบบลุ้นกันเหนื่อยเลย (ฤดูนั้นคลิ้นส์มันน์ย้ายกลับมาช่วยไก่ไว้ช่วงกลาง-ปลายฤดูครับ)

ความสำเร็จสูงสุดของสเปอร์สในรอบสิบกว่าปีมานี้ก็คือ แชมป์ลีกคัพ (รู้สึกจะปี 98 หรือ 99 นี่แหละครับ)

ถึงแม้จะพยายามเปลี่ยนผู้จัดการทีมหลายต่อหลายครั้ง ดึงตัวผู้จัดการทีมดังๆ มาทำงานหลายคน (เช่น จอร์จ เกรแฮม, เกล็น ฮ็อดเดิล) ทีมก็ยังห่างเหินกับความสำเร็จ และห่างเหินจากเวทียุโรปมานานแสนนาน...

.....................................

มาถึงช่วงก่อนเปิดฤดูกาลนี้ สาวกไก่ทั้งหลายต่างก็ตั้งความหวังไว้อย่างสูง (เหมือนเช่นฤดูกาลอื่นๆที่ผ่านมา) หวังไว้ว่าปีนี้จะเป็นปีทองของสเปอร์สเสียที ปีนี้จะได้เห็นไก่เดือยทองสยายปีกโก่งขันอย่างสง่าผ่าเผยเสียที

ช่วงพักฤดูกาล ระหว่างการแข่งขันยูโร 2004 ที่โปรตุเกสนั้น สเปอร์สได้ประกาศแต่งตั้งผู้จัดการทีมคนใหม่ คือ Jacques Santini ซึ่งตอนนั้นคุมฝรั่งเศสลุยศึกยูโรอยู่

สาวกไก่ต่างก็ยิ่งเพิ่มความหวังให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก

พอเริ่มเปิดฤดูจริงๆ ช่วงแรกฟอร์มของสเปอร์สก็ใช้ได้ทีเดียว รู้สึกว่าจะขึ้นไปยึดจ่าฝูงในช่วง 4-5 นัดแรกได้ด้วย แต่พอเตะไปอีกสักพัก สาวกไก่ก็ต้องเผชิญกับข่าวที่ไม่มีใครคาดคิด

Santini ลาออกจากตำแหน่งผจก.ทีม! หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้อง เขาถูก "บีบ" ให้ลาออกต่างหาก สาเหตุหลักน่าจะมาจากการที่เขาไม่สามารถยอมรับนโยบายการซื้อนักเตะของทีม ซึ่งให้อำนาจการตัดสินใจสูงสุดไว้ที่ Frank Arnesen ผู้เป็น Sporting Diretor แทนที่จะให้อำนาจกับผจก.ทีม

เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ผมและสาวกไก่ทั้งหลายก็งงงวยตะลึงงันกันไปพักใหญ่ ความฝันที่พวกเราวาดไว้ถูกบั่นทอนลงจากการเปลี่ยนแปลงแบบกะทันหันนี้

ต่อมาไม่นาน สโมสรก็ได้ประกาศตัวผจก.ทีมคนใหม่ บุรุษผู้นั้นก็คือ... Martin Jol!?!?

หลังจากทราบข่าว ความคิดแรกที่ผ่านเข้ามาในหัวสมองผมก็คือ ใครคือนาย Martin Jol ผู้นี้? เขาคือใคร? มาจากไหน? เกิดมาไม่เคยได้ยินชื่อเลยครับ นามสกุลออกเสียงยังไงก็ไม่รู้

พอต่อมาได้อ่านประวัติการทำงานของนายโยลดู ก็พบว่าใช้ได้พอตัวทีเดียว เพียงแต่อาจจะขาดประสบการณ์การทำทีมใหญ่ๆ (แต่จะว่าไปแล้ว สเปอร์สก็ไม่ได้เป็นทีมใหญ่ขนาดนั้น)

ผลงานของโยลช่วงแรกๆ เป็นไปแบบสามสัปดาห์ดีสี่สัปดาห์ไข้ครับ ชนะติดกัน 3-4 นัด แล้วก็แพ้ติดกัน 3-4 นัด สลับกันไปช่วงหนึ่ง

แต่ผมก็แทบไม่ได้ดูผลงานของสเปอร์สทางหน้าจอเลยครับ เพราะมาแลกเปลี่ยนที่อเมริกาเลยไม่มีให้ดู ต้องติดตามข่าวทางเว็บไซต์แล้วก็คอยถามเพื่อนๆที่มันได้ดูที่เมืองไทยว่าฟอร์มของสเปอร์สเป็นยังไงบ้าง

สเปอร์สก็เกาะกลุ่มกลางตารางมาเรื่อยๆ ครับ จนถึงช่วงหน้าต่างซื้อขายนักเตะเปิดตอนเดือนมกราคม สเปอร์สเป็นหนึ่งในทีมที่ซื้อนักเตะเสริมทีมเข้ามามากที่สุด แต่ว่านโยบายการซื้อนักเตะของ Arnesen กับ Jol นั้น ไม่เน้นซื้อพวกดาราดังราคาแพงครับ ทุกคนที่ซื้อเข้ามาเป็นนักเตะดาวรุ่งทั้งนั้น อายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมทั้งนั้นเลยครับ เรียกว่าซื้อมาไม่แพงหวังปั้นให้เก่ง ตัวที่แพงๆ หน่อยก็คือ Andy Reid กับ Michael Dawson สองดาวรุ่งจาก Forest ส่วนคนอื่นก็มี Mido, Ziegler แล้วก็พวกที่ซื้อมาเป็น reserve อีกสองสามตัว

นอกจากนี้ สาวกไก่ยังได้เห็นนักเตะเยาวชนของทีมหลายคนที่มีโอกาสก้าวขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่อย่างเต็มตัว เช่น Dean Marney, Stephen Kelly, Philip Ifil เป็นต้น

ช่วงปีใหม่มีการแข่งขันนัดหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บใจ ขุ่นเคือง และเสียดายที่สุดครับ นัดนั้นสเปอร์สบุกไปเยือนผีแดงถึงถิ่น สถิติรอบสิบกว่าปีมานี้ สเปอร์สไม่เคยบุกไปชนะผีแดงในบ้านได้เลยครับ แต่ปีนี้สเปอร์สเล่นดีกว่าปีก่อนๆครับ สกอร์ตอนจบเกมออกมาเจ๊ากัน 0-0 ชนิดที่ผมและสาวกไก่เจ็บใจที่ซู้ดดด

เพราะอะไรนะหรือครับ? ก็เพราะผู้ช่วยผู้ตัดสินคนนั้นน่ะสิครับ เขาบอกว่าลูกยิงไกลของ Pedro Mendes ไม่ข้ามเส้นประตู ทั้งๆที่มันข้ามเส้นไปแล้วแบบชัดยิ่งกว่าชัด! (อันนี้ผมไม่ได้ดูเองหรอกนะครับ แต่เพื่อนๆทุกคนที่ผมถาม รวมทั้งแฟนผีเอง ก็บอกว่ามันเข้าไปแล้วแน่นอน)

เซ็งเลยครับ... โดนปล้นชัยชนะไปแบบน่าเจ็บใจและน่าเสียดายเหลือเกิน...

นัดต่อๆมาผมก็ติดตามข่าวมาตลอด ถามเพื่อนๆที่เมืองไทยต่างก็บอกว่าสเปอร์สเล่นดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ ไม่มีแพ้แบบเละเทะแล้ว กองหน้าได้ Mido มาเสริมความแข็งแกร่งและลูกกลางอากาศ ประสานพลังทำประตูร่วมกับ Defoe, Keane และ Kanoute

กองกลางด้านข้างได้ Andy Reid มากระชากลากเลื้อย ทำให้เกมริมเส้นเจ๋งขึ้นเยอะ ตรงกลางนั้น Michael Carrick ก็พัฒนาฝีเท้าขึ้นมาก บวกกับตัวเสริมคนอื่นๆ อย่าง Mendes, Brown, Davies, Zeigler, Marney, Davis (รายหลังนี่เจ็บบ่อย)

กองหลังมี Ledley King จับคู่กับ Naybet พร้อมตัวแทนอย่าง Dawson และแบ๊กอย่าง Edman, Atouba, Kelly, Ifil, Pamarot ก็นับว่าใช้ได้ทีเดียว

สเปอร์สจึงโชว์ผลงานได้ค่อนข้างดีมาเรื่อยๆ

จนมาถึงช่วงปลายฤดูกาล สเปอร์สมีลุ้นไปเตะยูฟ่าคัพ ต้องลุ้นกันจนเหลือสองนัดสุดท้าย สเปอร์สอยู่ที่ 7 ซึ่งเป็นโควตาทีมสุดท้ายที่จะได้ไปเล่นยูฟ่าคัพ มีคะแนนเท่ากับโบโร่ แต่ประตูได้เสียดีกว่าหนึ่งลูก

เหมือนชะตาได้ลิขิตไว้แล้ว... นัดที่ 37 สเปอร์สกับโบโร่ต้องโคจรมาพบกันที่ริเวอร์ไซด์สเตเดียมครับ! ตัวผมก็ตั้งความหวังไว้เต็มที่ ขอยันเสมอให้ได้ แล้วนัดสุดท้ายไปอัดแบล็กเบิร์นในบ้าน ก็จะได้ไปโลดแล่นในยุโรปแล้ว

ผลออกมาปรากฎว่า โบโร่เล่นดีกว่าและเชือดคอไก่ไป 1-0...

ผลการแข่งขันออกมาเช่นนี้ ทำให้สเปอร์สแทบจะหมดลุ้นไปยุโรปเลยครับ เพราะนัดสุดท้ายต้องลุ้นให้แมนฯซิติ้ฯชนะโบโร่แค่ลูกเดียว (ซิตี้ก็มีลุ้นไปยุโรปเหมือนกัน) แล้วสเปอร์สก็ต้องชนะแบล็คเบิร์นโดยต้องยิงให้เยอะกว่าซิตี้ 2 ลูก

เรียกว่าความน่าจะเป็นแทบจะเป็นศูนย์ครับ

และแล้วผลนัดสุดท้ายก็ออกมา ซิตี้เสมอโบโร่ 1-1 ส่วนสเปอร์สก็ทำอะไรแบล็คเบิร์นไม่ได้ (เพราะคงไม่ค่อยมีความหวังกันสักเท่าไหร่) เจ๊ากันไปแบบโนสกอร์ ส่งผลให้โบโร่ได้เข้าไปเล่นในยุโรปเป็นทีมสุดท้ายครับ

เฮ้อ... จบลงไปอีกฤดูแล้วครับ และสเปอร์สของผมก็ยังไม่สามารถติดโควตาเข้าไปเล่นในยุโรปได้

.....................................

ถ้าถามผมว่ารู้สึกยังไงกับผลงานของสเปอร์สในฤดูกาลที่เพิ่งจะผ่านไป ผมคงต้องบอกว่า มันเป็น mixed feelings ครับ

ในแง่หนึ่ง ก็ผิดหวังแน่นอนครับที่ทีมรักไม่สามารถฉกฉวยโอกาสทำอันดับไปเล่นบอลยุโรปได้ดั่งหวัง รู้สึกเซ็งและเสียดายสองคะแนนที่หายไปจากนัดที่เสมอแมนฯยูฯ ถ้าได้สองคะแนนนั้นมา นัดสุดท้ายคงเล่นอย่างตั้งใจและน่าจะเก็บแบล็คเบิร์นได้ไม่ยาก

แต่อีกแง่หนึ่ง ผมก็รู้สึกมีความหวัง (แบบจริงๆจังๆ ไม่ลมๆแล้งๆ) ผมเห็นความเปลี่ยนแปลงด้านบวกที่ Arnesen และ Jol ได้นำเข้ามาสู่ไวท์ฮาร์ทเลน สองคนนี้ดูเป็นมืออาชีพมาก ผมชอบที่พวกเขาให้โอกาสนักเตะดาวรุ่ง และเลือกซื้อนักเตะอย่างชาญฉลาด เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตอย่างแท้จริง

อีกทั้งสไตล์การทำงานของโยลก็ดูจะได้ผลดี ดูจากข่าวที่ออกมา บรรยากาศภายในสโมสรดูดีมากๆ

ผมมองเห็นอนาคตอันสดใสที่ไวท์ฮาร์ทเลนนี้จริงๆนะครับ มันเป็นความหวังที่ไม่เหมือนแต่ก่อน ที่หวังแบบไม่ค่อยมีหลักฐานและเหตุผลมาแบ็กอัพ ความหวังครั้งนี้ผมมั่นใจว่ามันเป็นของจริงแน่นอน

ผมขอทำนายไว้เลยครับ อีกภายในสองฤดูกาล สเปอร์สจะได้ไปเล่นบอลยุโรปอย่างแน่นอน

และอีกภายในห้าปี สเปอร์สจะผงาดมาเป็นทีมระดับท็อปไฟว์ของเกาะอังกฤษ มีโอกาสลุ้นไปเล่น UCL อย่างแน่นอนครับ

ผมมั่นใจมากครับ... มั่นใจไม่น้อยไปกว่าท่านผู้นำของเราที่ได้เคยประกาศไว้อย่างเสียงดังฟังชัดว่า "อีกหกปีจะไม่มีคนจนในเมืองไทย" เลยครับ!

ป.ล. ไม่ทราบว่าเคยสังเกตกันบ้างไหมครับ ว่าจริงๆ แล้วตราสโมสรของสเปอร์สที่เป็นรูปไก่นั้น ไก่มันไม่ได้มีเดือยสีทองแต่อย่างใดครับ แล้วเหตุไฉนสเปอร์สจึงได้มีฉายาว่า "ไก่เดือยทอง" ล่ะครับ? คำตอบก็คือ ตราสัญลักษณ์ไก่แบบเก่าของสเปอร์ส (ซึงเพิ่งถูกเปลี่ยนไปเมื่อไม่กี่ปีมานี้) มีเดือยสีทองก็เท่านั้นเองครับ







3 comments:

Etat de droit said...

สมัยผมเริ่มดูบอลใหม่ๆ สเปอร์เป็นอีกทีมที่เล่นบอลได้เร้าใจมาก

สมัยนั้นสเปอร์ทุ่มเงินซื้อ คริส วอดเดิ้ล กับ พอล แกสคอยน์ มาจากนิวคาสเซิลครับ

เท่าที่นึกออกมีใครมั่งหว่า ประตูนี่เป็นบ๊อบบี้ มิมส์ แกเฟอะฟะบ่อย หลังๆสเปอร์เลยไปซื้อเอาเอริค ธอร์สเว็ดท์ ทีมชาตินอร์เวย์มาแทน

หลังก็มีพวกแกรี่ แม็บบัตต์ กลางนี่มีสตีฟ ฮ็อดจ์ ผมชอบมากตัวนี้ เทอรี่ เฟนนิค พวกนี้ติดทีมชาติอังกฤษสมัยบ๊อบบี้ ร็อบสันหมด

อีกตัวที่ผมชอบคือ พอล วอล์ช กองหน้าผมสวย แนวๆ คานิกเกียครับ สเปอร์ซื้อต่อจากหงส์ไป

ต่อมาเทอร์รี่ เวนาเบิ้ลส์ทุ่มเงินไปลากเอาลินิเกอร์กลับมาจากบาร์เซโลน่า

ถ้าผมจำไม่ผิด แมทช์แรกที่ผมได้ดูสเปอร์นี่ น่าจะปี 1987 มั้งครับ ชิงเอฟเอ คัพ กับโคเวนทรี ปรากฏพลิกล็อกแพ้โคเวนทรีไป

นัดสุดท้าย ผมลุ้นสเปอร์เต็มที่เลยให้ได้ไปยูฟ่า น่าเสียดายๆ ปีหน้ามาลุ้นกันใหม่ครับ

David Ginola said...

ผมเสียดายที่ไม่ได้ดูสเปอร์สสมัยแก๊สซ่า, ลินิเกอร์ ตอนนั้นยังเด็กมากๆ

รุ่นเก่าที่สุดที่ผมเคยดูก็ แม็บบัตต์ เล่นกับพวกบาร์มบี้ แอนเดอร์ตัน ฟ็อกซ์ คัลเดอวู้ด เอดินเบิร์ก วอล์กเกอร์...

ไว้ฤดูกาลหน้าต้องลุ้นให้สเปอร์สได้ไปยุโรปเสียทีครับ

Anonymous said...

ขอบคุณมากนะครับ สำหรับบทความ