Monday, March 19, 2007

สิ่งที่หายไป

คนเรามักจะไม่เห็นคุณค่าของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จนกระทั่งสิ่งนั้นจากหายไป...

ผมเองไม่เคยเห็นคุณค่าที่แท้จริงของสันติภาพและความสงบสุข จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ของไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

แม้ผมจะไม่ได้อาศัยอยู่ที่นั่น แต่ก็รับรู้ความรู้สึกของคนที่นั่นได้

คุณย่าและญาติอีกหลายคนของผมก็อาศัยอยู่ที่สงขลา (พ่อผมเป็นคนที่นั่น) ผมเป็นห่วงพวกเขา และเป็นห่วงทุกๆคนที่อาศัยอยู่ที่นั่น

ท่ามกลางความหวาดกลัว ทุกคนคงจะกำลังหวนคิดถึงใคร่ครวญหาความสงบสุข...

ขอร่วมไว้อาลัยแด่ทุกคนที่เสียชีวิตมากกว่าสองพันคนจากเหตุการณ์ไม่สงบในภาคใต้

ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่อาศัยอยู่ในสี่จังหวัดภาคใต้ ขอให้ทุกคนมีกำลังใจในการใช้ชีวิต แม้จะต้องเผชิญกับความหวาดกลัวและความตื่นตระหนกทุกวันเวลา ก็ขอให้ระมัดระวังและต่อสู้ต่อไป...

ขอประนามการกระทำอันเลวร้ายของอมนุษย์ที่ไม่รู้จริงๆว่าหัวจิตหัวใจทำด้วยอะไร...

เมื่อหวังพึ่งรัฐบาลและหน่วยงานรัฐไม่ได้... ผมก็ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก ช่วยดลบันดาลให้ทุกท่านมีพลังในการดำเนินชีวิต... ดลบันดาลให้ความสุขสงบกลับมาสู่ภาคใต้และเมืองไทยอีกครั้ง... โดยเร็วพลัน...

Tuesday, March 13, 2007

เสรีภาพที่หายไป

คมช. และผู้สนับสนุนการทำรัฐประหารมักกล่าวอ้างว่า ที่ คมช. กระทำการรัฐประหารไปนั้นก็เพื่อประชาชนคนไทย เพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง...

เพราะประชาชนคนไทยทนความชั่วร้ายคอรัปชั่นสารพัดของรัฐบาลคุณทักษิณไม่ไหว...

เพราะเสียงของประชาชนเรียกร้องให้รีบจัดการรัฐบาลทักษิณโดยเร็ว...

เพราะรัฐบาลทักษิณริดรอนสิทธิเสรีภาพสื่อ และยังก่อให้เกิดความแตกแยกขั้นรุนแรงในสังคมไทย...

.........

มาวันนี้ ผมพยายามเข้าเว็บไซต์ www.hi-thaksin.net ...

เว็บไซต์นี้เปิดตัวมาสักพัก ทำขึ้นโดยกลุ่มคนที่ชื่นชอบอดีตนายกฯ ทักษิณ และฝักใฝ่ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย

เว็บไซต์นี้มีการเผยแพร่การกล่าวปาฐกถาของอดีตนายกฯ ทักษิณ ที่เมืองนอก

เว็บไซต์นี้มีการเผยแพร่บทความ "กฏหมายไทยคืออะไรกันแน่ หนังสือต้องห้ามของ คมช." ของอดีตผู้พิพากษาศาลฏีกา

เนื้อหาก็ดูเป็นวิชาการดีนะ แม้จะเป็นเว็บไซต์มี "สังกัด" ไม่ใช่เว็บที่เป็น "กลาง" แต่ก็ไม่ได้มีเนื้อหาลามกอนาจาร ไม่ได้มีเนื้อหารุนแรงเหมือนเว็บไซต์อื่นๆอีกหลายเว็บที่ยังให้บริการกันเกร่อในโลกไซเบอร์

แต่ไม่รู้ทำไม ผมจึงเข้าเว็บไซต์นี้ไม่ได้ เหมือนมีใครจงใจมา block มัน

ไม่ทราบว่าเว็บไซต์นี้ไปริดรอนสิทธิเสรีภาพหรือก่อให้เกิดความเสียหายอะไรแก่ประเทศชาติหรือ?

หรือว่าผู้มีอำนาจเกรงว่าเว็บไซต์นี้จะทำให้คนไทยต่อต้าน คมช. และรัฐบาลเถื่อนในปัจจุบัน?

เอ... แต่ คมช. เองไม่ใช่หรือ ที่เคยบอกว่าทำเพื่อคนไทย คนไทยเรียกร้องให้ทำ คนไทยไม่ชอบรัฐบาลทักษิณอันชั่วร้าย

ถ้าการณ์เป็นดั่งนี้จริง คมช. จะกลัวเว็บไซต์เล็กๆ นี้ทำไมกันนะ?

เอ... หรือว่าการณ์กลับหาเป็นเช่นนั้นไม่?

จริงๆ ถ้า คมช. มั่นใจว่าที่ทำไปทั้งหมดเพื่อประชาชนและประเทศชาติแล้ว ทำไมไม่ประกาศไปเลยล่ะ ว่าหลังร่างรัฐธรรมนูญและจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่เสร็จ จะให้ประชาชนลงประชาพิจารณ์ว่า ยอมรับการทำงานของ คมช. และรัฐบาลชั่วคราวได้หรือไม่

ถ้าผลออกมาว่ารับได้เกินครึ่ง ก็โอเคไป แต่ถ้าประชาชนเห็นว่ารับไม่ได้เกินกึ่งหนึ่ง ก็จงแสดงความรับผิดชอบด้วยการเนรเทศตัวเองจากเมืองไทยไปเสีย

บางคนจะบอกว่าผมบ้าหรือเปล่า ทำงานไม่ดีทำไมต้องถึงขนาดไล่ออกจากประเทศบ้านเกิด?

ผมกลับคิดว่าไม่เป็นการเกินเลยแต่อย่างใด ดูอย่างอดีตนายกทักษิณสิ ประชาชนเลือกมา 19 ล้านเสียง ยังถูกขับออกจากประเทศและห้ามเข้าประเทศ แถมยึดหนังสือเดินทางทูตอีก...

ยังมีอีกเรื่องนึง... ก็พวก คมช. และผู้มีอำนาจหลายๆคนไม่ใช่หรือ ที่เคยด่ารัฐบาลทักษิณว่าริดรอนสิทธิเสรีภาพสื่อและประชาชน

เอ... แล้ววันนี้ ปิดเว็บไซต์ของประชาชน ไม่คิดจะด่าตัวเองบ้างหรือ?

.........

เอาล่ะครับ ผมพล่ามมามากพอแล้ว รู้สึกไม่ชอบคำพูดตัวเองเลย มันดูประชดชันฟังดูแย่ๆ

แต่ผมทนไม่ได้จริงๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ 19 กันยายน ปีที่แล้ว

เหตุการณ์ในวันนั้น ต่อเนื่องมาจนวันนี้ ทำให้ผมหงุดหงิดได้เป็นระยะๆ

ไม่เข้าใจประเทศไทย ไม่เข้าใจคนไทยจริงๆ

เบื่อ เซ็ง ท้อแท้ หงุดหงิด ผิดหวัง

แต่ผมก็ไม่ได้ทำอะไรให้มันดีขึ้นมาหรอกครับ ก็แค่ทำงานของตัวเองไปก็จะไม่มีเวลาทำอะไรอย่างอื่นแล้ว

ได้แต่นั่งเขียนบล็อกด่ารัฐบาลเถื่อนและคณะปฏิวัติไปวันๆ

ก็ผมจะไปทำอะไรได้ล่ะครับ ถ้าประชาชนไทยไม่ได้ต้องการประชาธิปไตย และถ้าประชาชนไทยไม่ได้ต้องการประชาธรรม ใครจะหยิบยกให้เราได้?

Sunday, March 11, 2007

ผจญภัยเมืองลอดช่อง (1) : The Genesis

ผมเพิ่งเห็นว่า ผมได้เขียนโพสไว้โพสนึงเมื่อปีกว่าๆมาแล้ว แต่เขียนค้างไว้เกือบเสร็จ แล้ว save ไว้เป็น draft เฉยๆ ไม่ได้โพสลงบล็อก วันนี้เห็นเข้าเลยลุยเขียนต่ออีกนิดหน่อยให้เสร็จเสีย

.........

ผมจำได้ว่า ตอนผมเรียนอยู่มัธยมต้นที่โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า (น.ต.อ.น.) ผมมีความรู้เกี่ยวกับประเทศสิงคโปร์น้อยมาก

ผมรู้แต่ว่าประเทศ
เพื่อนบ้านของไทยแห่งนี้เป็นเพียงเกาะเล็กๆเกาะหนึ่งทางใต้ของมาเลเชีย มีเมืองหลวงชื่อเดียวกับประเทศ และมีชื่อเล่นว่า “เมืองลอดช่อง”

ผมรู้อยู่เท่านี้แหละครับ

ตอนนั้น ผมไม่เคยคิดไม่เคยฝันมาก่อนเลยว่า อีกไม่นาน โชคชะตาจะพัดพาชีวิตผมไปที่สิงคโปร์และให้ผมใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเป็นเวลาเกือบสามปี

---------

วันหนึ่ง ช่วงต้นปี 2542

พ่อบอกกับผมว่า มีประกาศเล็กๆลงใน Bangkok Post ว่ารัฐบาลสิงคโปร์ประกาศให้ทุนไปเรียนต่อระดับมัธยม เปิดให้นักเรียนไทยชั้นที่กำลังเรียนอยู่ ม.3-4 สมัครสอบชิงทุนได้ ชื่อทุนว่า ASEAN Secondary Scholarship (ให้ทุนนักเรียนชาติอื่นๆในอาเซียนด้วยเช่นกัน)

ทั้งพ่อและผมไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับทุนนี้มาก่อน แต่พ่อก็บอกว่าผมน่าจะลองไปสมัครสอบดู จะได้หรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ผมก็เออๆออๆตามที่พ่อบอกแหละครับ ลองสมัครสอบดูโดยไม่คิดหวังว่าจะได้ทุน คงเพราะผมก็รู้สึกมีความสุขดีอยู่แล้วที่โรงเรียน

ก่อนสอบผมแทบไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย มีเตรียมอยู่อย่างเดียวคือเรื่องศัพท์คณิตศาสตร์ภาษาอังกฤษ เพราะตัวข้อสอบทั้งสามวิชา (เลข ภาษาอังกฤษ และสอบไอคิว) เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด

การสอบจัดขึ้นที่ราชฎักสวนดุสิตครับ ผมไปถึงที่นั่นแล้วตกใจและตื่นเต้นมาก เพราะเด็กที่มาสอบเยอะเหลือเกิน ร่วมสองสามร้อยคนเห็นจะได้ บวกกับผู้ปกครองและญาติๆที่ตามมาเป็นกองเชียร์ให้ลูกหลานด้วยแล้ว ทำให้บรรยากาศในวันนั้นคึกคักมากๆ ผมเพิ่งรู้ตัวก็ตอนนี้แหละครับว่าการสอบชิงทุนอันนี้มันก็ยิ่งใหญ่ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน

หลังสอบเสร็จทั้งสามวิชาแล้ว ผมบอกกับตัวเองว่า คงไม่ติดสัมภาษณ์แน่ๆ เพราะรู้ตัวว่าทำข้อสอบภาษาอังกฤษได้น้อยมาก ข้อสอบอะไรก็ไม่รู้ยากเหลือเกิน เกิดมาไม่เคยทำข้อสอบอะไรยากเท่านี้มาก่อนเลยครับ ผมว่าทำได้น้อยกว่าครึ่งนึงของคำถามทั้งหมดแน่นอน

ส่วนนึงมีบทความให้อ่านสองหน้า แล้วถามเป็นอัตนัยทั้งนั้น แล้วยังต้องเขียน essay (เค้าถามประมาณว่า ถ้าเพื่อนคนนึงทะเลาะกับพ่อแม่แล้วหนีออกจากบ้าน เราจะบอกเพื่อนเราว่าอย่างไรให้เค้ากลับบ้าน) ผมจำได้ว่าเขียนปั่นไปสุดๆ แกรมมาร์ผิดถูกไม่สนใจเลย ลุยเขียนไปตามที่ใจคิด จำได้ว่าไม่ได้เขียนเป็นเรียงความแต่เขียนเป็นแบบบทสนทนาคุยกับเพื่อนไปเลยครับ

ส่วนเลขก็พอทำได้ แต่ก็ไม่แน่ใจเพราะมันเป็นอัตนัยต้องแสดงวิธีทำทุกข้อ ส่วนวิชาไอคิวนี่เป็นปรนัย แต่ผมดันเข้าใจผิดเรื่องเวลาที่เค้าให้ ทำไปอย่างสบายๆเอ้อระเหยลองชายเพราะนึกว่าเค้าให้เวลาหนึ่งชั่วโมง ผ่านไปสิบห้านาทีกรรมการคุมสอบเค้าบอกว่าเหลืออีกห้านาทีหมดเวลานะ อ้าว! ซวยแล้วเรา เพิ่งทำไปได้ครึ่งเดียวเอง สุดท้ายก็ทำไม่ทันไปห้าข้อ ต้องกามั่วๆไป

ต่อมาสักสองสามอาทิตย์ มีจดหมายร่อนมาจากสิงคโปร์ (ลืมบอกไปครับว่าข้อสอบที่สอบไปเค้าส่งไปให้กระทรวงศึกษาฯที่สิงคโปร์ตรวจเองเลย) ก่อนเปิดซอง ผมก็แอบลุ้นอยู่นิดๆเหมือนกันครับ แต่ก็ไม่ได้หวังอะไรมาก เพราะอย่างที่บอกไปว่าทำข้อสอบไม่ค่อยได้

ปรากฏว่าได้ไปสอบสัมภาษณ์ครับ!

พอถึงวันสอบสัมภาษณ์ที่สถานทูตสิงคโปร์ มีกรรมการสอบสามคน รู้สึกจะเป็นคนสิงคโปร์ทั้งหมด เค้าก็ถามเรื่องทั่วๆไป ทำไมอยากไปเรียนที่สิงคโปร์, เล่ากิจกรรมที่ทำที่โรงเรียนที่เราประทับใจมา, อยากทำงานอะไร (ผมบอกไปว่าอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ เพราะตอนนั้นผมชอบเรียนวิทย์มากกว่าวิชาอื่นๆ และก็เคยฝันอยากเป็นครูสอนวิทย์ในโรงเรียนมัธยม)

ตอนสัมภาษณ์นี่ผมรู้สึกว่ามันยาวนานเหลือเกิน อย่างกับไปอยู่ในห้องเป็นชั่วโมงๆ พอสัมภาษณ์เสร็จผมออกมาแม่ก็ถามว่าเค้าถามอะไรบ้าง ทำไมสัมภาษณ์นานจัง (เกือบครึ่งชม.) ผมก็บอกว่าตอบได้มั่งไม่ได้มั่ง แถมมีตอนนึงผมบอกกรรมการว่าผมได้ยินมาว่าสิงคโปร์เป็นเมืองสะอาด ไม่มีขยะ แต่ผมนึกคำว่าขยะไม่ออก ผมเลยพูดออกไปแบบนี้...

I know that Singapore is a clean city… There is no… er..er… DUST on the street!

กรรมการทั้งสามท่านปล่อยก๊ากขำกลิ้งออกมากันใหญ่ ในขณะที่ผมยังนั่งงงๆอยู่ว่าเราพูดอะไรผิดไปเหรอ (ตอนนั้นผมนึกถึงคำว่า dustbin ที่แปลว่าถังขยะครับ เพราะฉะนั้น dust ก็ต้องแปลว่าขยะสิ) มารู้ทีหลังว่า dust มันแปลว่าฝุ่น ไอ้ที่เราพูดไปน่ะมันหมายถึงสิงคโปร์สะอาดมาก ไม่มีฝุ่นบนถนนเลย! (ฮา)

สามสี่วันหลังจากการสอบสัมภาษณ์ จดหมายอีกหนึ่งฉบับร่อนมาถึงบ้าน คราวนี้ลุ้นกว่าฉบับก่อนมาก...

ปรากฏว่าเค้าตอบรับให้ทุนเราไปเรียน!

ตอนนั้นผมดีใจมาก ทั้งๆที่ไม่ได้หวังอะไรไว้ตั้งแต่แรก พ่อและแม่ผมก็ดีใจไม่แพ้กัน ผมก็ดีใจที่พ่อแม่ดีใจ (ผมรู้ว่าทั้งพ่อและแม่เครียดมามาก เพราะต้องเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจอยู่มาตลอดสองปี)

พอดีใจอยู่พักหนึ่งผมถึงค่อยเริ่มคิดขึ้นมาได้ว่า อีกไม่กี่เดือน เราจะต้องจากบ้าน จากครอบครัว จากเพื่อน จากเมืองไทย จากสิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคย จากคนที่เรารัก ไปอยู่ต่างแดนเป็นเวลาสองปีกว่าๆ แล้วจริงๆหรือ?

แล้วไปเรียนที่นู่นเราจะไปรอดมั้ย? คนที่นู่นจะเป็นอย่างไร? เราจะหาเพื่อนได้มั้ย? ฯลฯ

ความสงสัย ความกังวล ความกลัว ผุดขึ้นมาในความคิดผมเป็นระยะๆ


.........

ทุนที่ผมได้รับนั้นให้ไปเรียนสองปีคือ Secondary 3-4 แล้วพอจบสองปีก็ต้องสอบ Cambridge ‘O’ Level แต่ก่อนเข้าเรียนเค้าจะให้ไปเรียนคอร์สภาษาก่อนสามเดือน (ตุลา-ธันวา) แล้วค่อยเริ่มเรียนในโรงเรียนจริงๆตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2000

ปีที่ผมไปมีนักเรียนไทยได้ทุนทั้งหมด 11 คนครับ (หญิง 7 ชาย 4) พวกเราได้พบเจอกันอย่างเป็นทางการครั้งแรกก็ในงานแถลงข่าวที่กระทรวงต่างประเทศ เพื่อนๆที่ได้ทุนก็มีทั้งที่เรียน ม.3 และ ม.4 อยู่ มีมาจากโรงเรียนบดินทร์ฯ, สวนกุหลาบนนท์, วัฒนาวิทยาลัย, สาธิตเกษตร, สาธิตจุฬา, สตรีวิทย์, เตรียมฯน้อมฯ รวมไปถึงโรงเรียนบ้านนอกอย่างเฉลิมขวัญสตรีที่พิษณุโลก - ล้อเล่นนะออ เฉลิมขวัญเป็นโรงเรียนที่ดีมากๆ)

ต่อมา ผมก็ใช้เวลาช่วงไม่กี่เดือนที่เหลืออยู่ในเมืองไทย ไปกับการอำลาเพื่อนๆ อำลาครูอาจารย์ และเตรียมตัวเตรียมใจไปเรียนที่สิงคโปร์

ที่โรงเรียน ผอ.และอาจารย์จัดงานอำลาให้อึกทึกครึกโครมจนผมแอบรู้สึกว่ามันเว่อร์ไป ผอ.ให้ผมพูดลาเพื่อนๆและอาจารย์หน้าเสาธง (คือช่วงม.ต้นผมชอบพูดครับ หมายถึงพูดในที่ชุมชนหรือ speech นะครับ ช่วงนั้นผมได้เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งพูดอยู่บ่อยๆ หรือเวลามีงานที่โรงเรียนก็พูดหน้าเสาธงบ้าง)

ตอนพูดหน้าเสาธงลาเพื่อนๆและอาจารย์ ผมได้แต่งกลอนแปดมาสักเกือบสิบบทนะครับ เพราะรู้ว่าคงพูดอะไรไม่ออก เลยแต่งกลอนมาบอกเล่าความรู้สึกแทน ผมจำได้ว่าผมพูดกลอนไปก็น้ำตาซึมไป พอพูดเสร็จลงมาเห็นเพื่อนบางคนแอบร้องไห้... ผมก็กลั้นน้ำตาไว้เกือบไม่อยู่เหมือนกัน

หลังจากนั้นก็เพื่อนๆที่ห้องก็จัดงานเลี้ยงส่งที่ห้อง พวกเรากินกันอย่างเอร็ดอร่อย และร้องเพลงกันอย่างสนุกปนเศร้า... ผมก็ได้แต่คิดว่า "มีพบก็ต้องมีพราก มีจากก็ต้องมีเจอ" จากกันวันนี้เดี๋ยวเราต้องได้พบกันใหม่แน่นอน...

.........

เวลาผ่านมาจนถึงคืนวันก่อนขึ้นเครื่อง ผมจำได้ว่าผมไปนั่งดูดาวอยู่คนเดียวที่ระเบียงบ้าน นั่งคิดไปเรื่อยถึงอดีตและอนาคตข้างหน้า พลางบอกกับตัวเองว่า เอาล่ะ เดี๋ยวเราก็คงรู้ว่าสิงคโปร์มันจะเป็นยังไง เป็นไงเป็นกันล่ะวะ ทำให้ดีที่สุดแล้วกัน

ในที่สุด วันที่ 3 ตุลาคม 2542 ก็มาถึง หลังจากอำลาครอบครัวและญาติพี่น้องที่มาส่งกันเสร็จแล้ว พวกเราทั้ง 11 คนก็ขึ้นเครื่องบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ลัดฟ้าสู่สิงคโปร์ไปด้วยกัน

การผจญภัยของผมในเมืองลอดช่องกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว...


ป.ล. ผมไม่แน่ใจว่าจะมีโอกาส (และอารมณ์) เขียนประสบการณ์ผจญภัยตอนอยู่ที่สิงคโปร์เมื่อไหร่ เพราะที่ผ่านมาหลายๆเรื่องที่ผมเขียนก็ยังค้างตอนจบอยู่ เหอๆๆ เอาเป็นว่าวันไหนอารมณ์มันให้ผมก็จะเขียนแล้วกันครับ

Tuesday, March 06, 2007

tag แฉความลับ (ข้อ 1-3)

ด้วยเหตุที่ tag กะลังระบาดอย่างหนักในโลกไซเบอร์สเปซ

และด้วยเหตุที่ผมเข้าไปอ่านบล็อกเพื่อนคนนึง ซึ่งบอกว่าไม่มีใครมา tag แต่ด้วยความเจือก+หน้าด้าน เลยขอ tag ตัวเองเสียเลย

ผมเลยขอเจือก+หน้าด้าน tag ตัวเองด้วยคน

จะว่าไปก็ดี เพราะจริงๆแล้ว ส่วนนึงของการเขียนบล็อก ก็เหมือนเขียนเก็บไว้ให้ตัวเราเองอ่านในอนาคต

อีกสิบปียี่สิบปี ผมอาจจะลืมความลับบางอย่างในวันนี้ แต่ถ้าบล็อกยังอยู่ กลับมาอ่านคงจะเอ็นจอยไม่น้อย

ว่าแล้วก็เริ่มเลยดีกว่า

ข้อแรก ผมเป็นคนที่ค้างบ้านเพื่อนบ่อยมาก

ถ้าเทียบกันในรุ่นบีอี 10 ด้วยกัน ผมน่าจะเป็นคนที่ค้างบ้านเพื่อนบ่อยที่สุด คือเฉลี่ยแล้วอาทิตย์ละครั้ง (บางอาทิตย์ค้างสองวันด้วยซ้ำ)

ประมาณว่าอยู่บ้านตัวเองขาดความอบอุ่นเลยชอบไปค้างบ้านเพื่อนสาว เอ้ยๆ ไม่ใช่ๆ อย่าเข้าใจผิดนะครับ ผมไปค้างบ้านเพื่อนผู้ชายครับ (หรือว่าอันนี้ยิ่งแย่ เพราะจะถูกหาว่าเป็นเกย์???)

จริงๆที่ผมไปค้างบ้านเพื่อนบ่อยเนี่ย เหตุผลหลักคือบ้านผมอยู่ไกล บางทีมันขี้เกียจนั่งรถต่อเรือหลายทอดอะครับ ยิ่งพอกลับค่ำหน่อย ซอยบ้านผมจะไม่มีรถสองแถววิ่ง จะต้องต่อแท็กซี่อย่างเดียว ซึ่งก็อันตราย เดี๋ยวผมจะถูกข่มขืน เอ้ย ข่มขู่ชิงทรัพย์ได้ ก็เลยหาเรื่องค้างบ้านเพื่อนเสียเลย

บางคนอาจสงสัยว่า เอ... แล้วค้างบ้านเพื่อนเนี่ยไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้ส่วนตัวเลยเหรอ?

สำหรับผม ไม่ต้องหรอกครับ

เพราะอะไรนะหรือ?

เพราะผมไปค้างบ่อยจนผมมีผ้าเช็ดตัว แปรงสีฟันของตัวเอง เก็บไว้ที่บ้านเพื่อนสนิทที่ไปค้างบ่อยๆ น่ะสิครับ

ส่วนชุดนอน ก็ยืมใส่ของเพื่อนเอา (แอบเป็นภาระพวกนาย ขอโทษจริงๆนะ แต่ก็ทำอยู่ดี... ฮา...) เช้าขึ้นก็ยืมเสื้อยืดเพื่อน กางเกงยีนส์ก็ใส่ตัวเดิมเอาได้

ปัญหาสำคัญคือเรื่องกางเกงในครับ

ถ้ามีโอกาส ผมก็จะแวะซื้อที่ seven

ตอนแรกๆสมัยปีหนึ่ง ผมเคยซื้อ "กางเกงในกระดาษ" แบบใส่ครั้งเดียวทิ้ง ขายเป็นแพ็กๆละ 3 ตัวๆละ 13 บาท

แต่ใส่แล้วไม่สบายเป็นอย่างยิ่ง... ไม่แนะนำอย่างแรง

ต่อมาเลยใช้กลยุทธ์ "กลับด้าน" เอา ตามคำแนะนำของเพื่อนอีกคน (โคตรโสโครกเลยว่ะ)

มีครั้งสองครั้ง ใช้วิธียืมกางเกงบอลขาสั้นของเพื่อนมาใส่เป็น boxer

ตอนหลังนี่ไม่ทำแล้วแหละครับ มีการเตรียมตัววางแผนล่วงหน้าเสมอ

ถามว่าไปค้างบ้านเพื่อนทำอะไรกันมั่ง

อันดับแรก เล่นเกม ps2 ครับ

เกมยอดฮิตก็แน่นอน winning eleven ซึ่งพวกเราเล่นกันเป็นอาชีพเสริม มีการต่อ tab ต่อ joy ทำให้เล่นกันได้ถึง 8 คนพร้อมๆกัน! จัดแข่งเป็นทัวนาเมนต์ แบ่งฝ่ายเล่น มีเล่นเดี่ยว เล่นคู่ คู่ผสม เดี่ยวสลับมือ

เล่นกันถึงขนาดจัดเป็นชาร์ต ranking และมี handicap ของแต่ละคนด้วย

ส่วนฝีมือการเล่นของผมนั้น อย่าให้พูดเลยดีกว่า ไว้ใครอยากเจอก็ท้ามาได้ พร้อมรับคำท้าเสมอ (คุยข่มไว้ก่อน หุหุ)

นอกจากเล่นวินนิ่ง พวกเราก็เล่นไพ่แบบต่างๆ อ่านการ์ตูน เล่นเกมเศรษฐี เกม risk เล่นไพ่ยูกิ ดูหนัง เชียร์บอล เตะบอล ฯลฯ (มีแต่เรื่องไร้สาระ แฮ่ๆ ก็นะถือเป็นการพักผ่อน)

แต่ไม่ดื่มสุราของมึนเมานะครับ

อ้อ มีอีกอย่างที่เรานำมาเล่นกัน นั่นก็คือ เกมแฟนพันธุ์แท้ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกครับ

โดยเพื่อนผมคนนึงที่ชื่นชอบฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ (ตอนนี้ได้งานเป็น columnist ที่บริษัทสยามสปอร์ตไปแล้ว) จะเป็นคนจัดทำเกมแฟนพันธุ์แท้พรีเมียร์ลีกมาให้คนอื่นแข่งกัน

รูปแบบเกมอยากจะบอกว่า create กว่าของคุณปัญญาเสียอีก

(อีกอย่าง ไม่มีการเตี๊ยมกันเหมือนแฟนพันธุ์แท้ของคุณปัญญา - อันนี้ผมมีข้อมูลลับจากคนที่เคยไปแข่ง ปรากฎว่าเค้ามีการเตี๊ยมกันจริงๆครับ - เฮ้อ วงการมายา...)

เพื่อนผมเคยจัดแข่งแฟนพันธุ์แท้พรีเมียร์ของบีอี โดยมีตัวแทนทุกชั้นปีเข้าแข่งอีกด้วย

อยากรู้จักเพื่อนผมคนนี้ ติดตามได้ในรายการ kick off ทางช่อง espn นะครับ เขาและเพื่อนอีกคนเป็นตัวแทนประเทศไทย

นอกจากแข่งแฟนพันธุ์แท้พรีเมียร์แล้ว เรายังเคยเล่นแฟนพันธุ์แท้ "เพื่อนๆ", "บีอี", "อาจารย์", "อาหาร", "จังหวัด", "ประเทศ", "หนัง", "เพลง", "ละคร" หรือแม้กระทั่งสิ่งที่พวกเราเรียกว่า แฟนพันธุ์แท้ "จุดจุดจุด" (คือไม่มี topic เป็น "อะไรก็ได้")

เรียกว่าเล่นกันได้ไปเรื่อย ไร้สาระไปได้เรื่อยๆในช่วงเวลาที่ชีวิตยังพอมีเวลาให้ทำอะไร "ไร้สาระ" ได้

เอ่อ นี่ข้อแรกข้อเดียวทำไมมันยาวหลายเรื่องอย่างนี้

รู้สึกเหมือนยิ่งเขียนยิ่งประจานตัวเอง (ฮา)


ข้อสอง ผมเคยฉี่ราดกลางห้องเรียน!!

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นสมัยผมเรียนอยู่ ป.2 ณ โรงเรียนเพ็ญสมิทธ์ (โรงเรียนที่นักเรียนหญิงใส่ชุดนักเรียนเหมือนในการ์ตูน Sailor Moon)

ผมจำได้ว่าตอนนั้นกำลังเรียนคาบวิชา English Conversation กับ "มิสปัทมา" อยู่

"มิสปัทมา" เป็นครูที่สอนหนังสือดี มีหัวใจวัยรุ่น แต่ก็มีความเข้มและแอบดูดุๆ

บังเอิญวันนั้น มีเด็กในห้องขออนุญาตไปห้องน้ำหลายคน จนคุณครูคงนึกว่าเด็กแกล้งขอไปห้องน้ำเพื่อ "อู้" เรียน "มิสปัทมา" จึงบอกว่า ห้ามขออนุญาตไปห้องน้ำแล้วนะ

ต่อมา เรียนๆอยู่ ผมก็เกิดปวดท้องฉี่ขึ้นมา

แรกๆก็บอกว่า รอหมดคาบก่อนค่อยไปเข้าแล้วกัน

ต่อมากระเพาะปัสสาวะมันเริ่มส่งสัญญาณรุนแรงมากขึ้นๆ จนผมเริ่มกระวนกระวาย นั่งบิดไปบิดมา

แต่ด้วยความเป็นเด็กดีเชื่อฟังครู บวกกับความกลัวคุณครูว่า เลยไม่กล้าขอไปห้องน้ำ

เวลาผ่านไปช้าเหลือเกิน ทำไมคาบเรียนถึงได้ยาวนานเช่นนี้...

จะปวดแค่ไหน ไม่รู้ทำไมผมไม่ยอมขอไปห้องน้ำ

จนมัน "ราด" ออกมาทั้งที่นั่งๆอยู่กลางห้องเรียนนั่นแหละครับ...

เกิดอะไรขึ้นต่อไป ก็จินตนาการเอาเองละกันนะครับ บอกได้อย่างเดียวว่าอับอายมากๆ

และที่สำคัญ ผมยังจำคำพูดของ "มิสปัทมา" หลังผมฉี่ราดได้ชัดเจน

"ทำไมเธอไม่ขอครูไปห้องน้ำ?"

ข้อสาม ผมเคยโกรธที่สุดและระบายออกมาโดยการทำร้ายร่างกายคนๆนั้น...

เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนผมอยู่ ป.6 ในเย็นวันนึง ใกล้ที่เราจะปิดเทอมและจบการศึกษาแล้ว ผมและเพื่อนอีก 2 คนกำลังเตะบอลส่งกันไปมาอยู่ดีๆ ก็มีรุ่นพี่ ม.3 ประมาณ 3 คน เข้ามาแย่งบอลไปเล่น

ผมและเพื่อนไม่ยอม พยายามแย่งบอลคืนมา เพราะอยากเตะบอลกะเพื่อนซึ่งกำลังจะต้องแยกย้ายกันไปในอีกไม่กี่วัน

ผมวิ่งไล่พวกพี่ๆอยู่นาน เมื่อผมแย่งบอลคืนมาได้ ผมกลับทำผ้าเช็ดหน้าตกไปอยู่ในมือของพี่คนนึง

เรายืนห่างกันประมาณ 4-5 เมตร

พี่คนนั้นบอกผมว่า อยากได้ผ้าเช็ดหน้าคืนก็เอาลูกบอลมา

ผมฮึดฮัดไม่รู้จะเอายังไงดีอยู่พักนึง ก่อนที่ผมจะตะโกนตอบไปว่า

"อยากได้บอลนักใช่มั้ย..."

พร้อมกับขว้างลูกบอลหนังลูกนั้นออกไปด้วยความเร็วและแรงเท่าที่ผมจะมีแรงขว้าง

บอลพุ่งตรงเข้าใส่หน้าพี่คนนั้นอย่างเต็มเปา... ผ้าเช็ดหน้าผมหลุดจากมือพี่คนนั้น...

พี่คนนั้นหน้าแดงแล้วก็ออกวิ่งตรงเข้าหาผม

ส่วนผม ก็วิ่งหนีสุดชีวิต แต่ยังไม่วายวิ่งวนไปเก็บผ้าเช็ดหน้าที่ตกอยู่ แล้วก็วิ่งๆๆๆๆๆ สุดชีวิต

พวกของพี่คนนั้นอีก 2 คนก็มาร่วมวิ่งไล่ผม

ผมอาศัยการเป็นนักวิ่งเหรียญเงินกีฬาสี กับการวิ่งยึกยัก cut back, cut inside เหมือนเวลาล็อกบอล ทำให้พวกพี่สามคนวิ่งไล่ตามผมไม่ทันสักที

แต่ก็นะ วิ่งไปวิ่งมาเราก็เหนื่อย แล้วก็ถูก "ต้อน" เข้ามุมจนได้

ผมจำไม่ได้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง จำได้แต่ว่าคอเสื้อผมถูกกระชาก และได้ยินเสียงด่าอะไรต่อมิอะไรออกมาจากปากพวกพี่ๆพวกนั้น

แต่โชคดีที่พวกเขาก็ไม่กล้าพอที่จะต่อยหรือทำร้ายอะไรผม

ระหว่างฉุดกระชากลากเหวี่ยงกันอยู่นั้น เพื่อนผมคนนึงซึ่งเป็นนักเลงหัวโจกประจำโรงเรียนเดินผ่านมาพอดี เลยเข้ามาไกล่เกลี่ย ดูเหมือนมันจะรู้จักพวกพี่ๆพวกนี้ มันก็ช่วยขอโทษแทนผมแล้วก็บอกว่าผมเป็นเพื่อนมัน

เรื่องจึงได้สงบลง ผมและพี่ๆก็ถูกยามเรียกไปนั่งสงบสติอารมณ์ในโรงอาหาร โดยมีป้าขายขนมร้านประจำของโรงเรียนมาพูดอบรม ว่าเป็นพี่น้องโรงเรียนเดียวกันอย่าทะเลาะกันอีก

ผมจำได้ว่าผมร้องไห้ ด้วยความกลัวหรือความอ่อนแอหรือความที่ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนกระมัง...

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็จบลงแค่นั้น ผมไม่เคยเล่าให้พ่อแม่ฟังด้วยซ้ำ คุณครูผมก็ไม่รู้เรื่องอะไร

มาวันนี้มองย้อนกลับไป ก็ถือเป็นประสบการณ์ตื่นเต้นเร้าใจอันนึง ที่สำคัญ มันสอนให้เรารู้ว่า อย่าไปทำร้ายใช้ความรุนแรงกับใครก่อน ไม่ดี๊ไม่ดีแน่นอนครับ...

เอาแค่สามข้อก่อนละกันครับวันนี้ ไว้ผมคิดอีก 2 ข้อได้เมื่อไหร่ค่อยมาเขียนต่อ

Saturday, March 03, 2007

Prof.Xavier!

Have you ever heard of Professor Xavier Sala-i-martin of Columbia University?

I’ve never taken his class nor have I met him, but today I intend to talk about this professor whom I believe to be one of the coolest I’ve ever known.

I first came across his (weird) name a few years ago when I was taking an economic development class at UC Davis. My TA at that time, Mr.Chad Sparber, gave us the link to his website.

After visiting his site once, I knew this guy isn’t just another professor.

Prof.Xavier was born in Catalonia, better known to most people as Catalan, whose major city is Barcelona (in Spain).

He got his PhD in Economics from Harvard. He currently teaches at Columbia and was once the acting President of Barcelona Football Club!

Why do I find him interesting enough to write about?

Well, first of all, his work is mainly about poverty reduction, world income distribution and economic growth, certainly the areas that are of utmost relevance and importance in Economics, at least in my opinion.

These issues may appear to be boring to some people but I truly believe they are really interesting and important. To me, the most relevant and interesting questions in Economics are: Why do countries grow? How to make a country kick start and sustain economic growth?

After all, it has been proven that long-term economic growth is the best way to reduce poverty and improve people’s standards of living.

I shall find some time to write about all these development issues later but let’s now come back to Prof.Xavier’s life story.

Apart from his highly recognized work, Prof.Xavier is a great teacher.

One of my close friends is currently attending his Intermediate Macroeconomics undergrad class at Columbia and she REALLY likes him.

She told me Prof.Xavier always wears very unique (well, might as well say weird) clothes to class and he also wears an afro hat.

My friend recalled...

On the first day of the class, Prof.Xavier walked in and began his lecture with

"The first lesson you will learn in Macroeconomics is... my name."

"Xa, as in shah of Iran... and then... B-A, instead of A-B.... so... shah-B-A (= Xavier)"

Then, he would go on and say,

"The difference between micro and macro is that... Micro is useful and macro is useless..."

Well, it wasn’t really how you would expect an Economics professor to begin his class, but that was quite a great way to begin the class and make the first impression, right?

I mean I prefer to start the class this way to the traditional way in which the professor comes in, says his name, and go directly into the course outline and assessments and all those boring stuff.

After all, the most important thing to get students interested in the subject.

My friend also says his class has never been boring. In fact, it has been great fun! (a visit at his website would strongly suggest that he’s fun and funny to be with)

He also has this "Question of the Day" award in every class, and the first one to answer it correctly gets an award.

Just like himself, his questions are random. They aren’t difficult nor tricky, but certainly challenging.

One day, he was teaching the IS-Lm model to illustrate the effects of monetary policy. He drew so many lines and graphs on the board using so many different colors of chalks.

Then he asked... "When this happens, what will happen to the graph?"

A student answered "the LM would shift to the right..."

"Yes, I know... but here’s the question of the day... which of all these lines is LM curve?"

Then the one who answers correctly ("The purple line!") would get the award.

Well, I know that each professor has his or her own unique style of teaching.

But for some lecturers who feel like their students often aren’t paying attention or are falling asleep in class, I suggest they try to be more innovative in their teaching methods and techniques.

.........

I think that should be enough for the short introduction to Prof.Xavier’s stories.

So far, if you like him, I leave it to you to visit and explore his website. It’s full of interesting, funny and useful stuff. (Try to click and see every single link in his page, they are all really cool!!)

For those who find him to be silly, it must be because of my failure to introduce him properly. So I suggest you visit and explore his site anyway.

Enjoy!