Tuesday, January 16, 2007
สุดทนการเมืองไทย
ตอนแรกว่าจะเขียนบล็อก ปีใหม่และการเดินทางของหัวใจ ให้จบ แต่ตอนนี้อารมณ์ไม่ดีเลย เพราะสุดจะเหลืออดเหลือทนกับเรื่องราวทางการเมืองในบ้านเรา
จริงๆ ผมคิดไว้ว่าจะไม่เขียนเรื่องการเมืองหรือเรื่องราวเกี่ยวกับการปฏิวัติลงบล็อก เพราะคิดว่าทุกคนคงได้สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นนี้ในโอกาสอื่นๆมามากแล้ว ผมเองก็คุยเรื่องนี้เสียจนเบื่อ ไม่อยากจะมาเขียนลงบล็อกอีก
แต่ตอนนี้มันทนไม่ไหวแล้วครับ เซ็งและหงุดหงิดมาก ขอระบาย (ด้วยเหตุด้วยผล) หน่อยเถอะ
นาทีแรกที่ผมได้ยินข่าวเรื่องการทำรัฐประหารในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ผมไม่เชื่อว่าประชาชนหรือนักวิชาการหรือผู้นำทางสังคมจะยอมรับการทำรัฐประหารครั้งนี้ ผมคิดว่าสังคมเราเติบโตมากพอและฉลาดพอที่จะมองเห็นว่าการทำรัฐประหาร - การล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยชอบของประชาชน – เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและสมควรแก่การถูกประณาม
วันรุ่งขึ้นหลังจากการทำรัฐประหาร ผมก็เพิ่งเข้าใจว่าผมคิดผิดไปอย่างสิ้นเชิง
ผมเสียใจกับการทำรัฐประหารครั้งนี้ ผมผิดหวังกับ “ปัญญาชน” ผู้นำทางสังคม นักการเมือง และสื่อมวลชนส่วนใหญ่
การยึดเอาอำนาจการบริหารประเทศจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ก็ไม่ต่างอะไรกับการยึดเอาอำนาจและสิทธิเสรีภาพของประชาชนไทยไปโดยพลการ ถือเป็นการดูถูกและไม่ให้เกียรติคนไทยอย่างที่ผมรับไม่ได้
ขนาดผมไม่ได้ชื่นชอบและไม่เคยเลือกพรรคไทยรักไทย ผมยังรับไม่ได้เลยที่คณะรัฐประหาร (ไม่อยากเรียกคณะปฏิรูปฯ เพราะชื่อมันหลอกหลวงชัดๆ) มาขโมย “เสียง” ของผมไปดื้อๆ ยังไม่นับเสียงประชาชนอีกสิบกว่าล้านเสียง... คุณไม่สนใจความรู้สึกและไม่ยอมรับความคิดเห็นของพวกเขาเลยหรือ?
ทุเรศ...
พวกคุณเป็นใครถึงมีสิทธิพิเศษที่จะยึดอำนาจของผมไป? เป็นพระเจ้ามาจากไหนที่จะมาแต่งตั้งใครมาเป็นนายกฯ แต่งตั้งใครมาเป็นผู้บริหารประเทศ? คุณรู้ได้อย่างไรว่าคุณดีกว่าเก่งกว่ารัฐบาลชุดก่อนที่คุณล้มไป? คุณมีสิทธิอะไรมาห้ามมิให้จัดการชุมนุมทางการเมืองอย่างสงบ?
คุณมีสิทธิอะไรมาแต่งตั้งคนกลุ่มหนึ่ง (คตส.) ขึ้นทำหน้าที่ตรวจสอบทุจริตรัฐบาลชุดก่อน แถมยังเลือกแต่คนที่เป็นอริกับไทยรักไทยมาอยู่ในคณะกรรมการ ทั้งๆที่การตรวจสอบสืบสวนให้คุณให้โทษใครควรต้องกระทำโดยคนที่มีความเป็นกลางที่สุด หรืออย่างน้อยก็ต้องไม่ใช่คนที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับผู้ถูกตรวจสอบอย่างชัดเจนเช่นนี้
และล่าสุด... คุณมีสิทธิอะไรมา “ขอความร่วมมือ” สื่อมวลชนไม่ให้เสนอข่าวความเคลื่อนไหวทางการเมืองของอดีตนายกฯ? คุณอ้างว่า “เพื่อป้องกันความขัดแย้งและรักษาความสงบเรียบร้อย” ของประเทศ... อืม... มันทำให้ผมนึกย้อนไปถึงปีที่แล้ว ก่อนการรัฐประหาร ทำไมคุณไม่ออกมาเรียกร้องให้ฝ่ายต่างๆที่พยายามกระตุ้นอารมณ์ผู้คนเพื่อสร้างความขัดแย้งแบบรุนแรง อยู่ในความสงบบ้างล่ะ? อย่างนี้มัน Double Standard นี่...
และที่สำคัญ ความขัดแย้งเป็นเรื่องปรกติของสังคมไม่ใช่หรือ? ประชาธิปไตย แม้จะไม่ใช่ระบอบการปกครองที่สมบูรณ์แบบ ก็ได้วางกรอบการยุติความขัดแย้งต่างๆ อย่างสงบไว้ให้แล้ว เป็นกรอบที่มีกฎเกณฑ์และพยายามให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่นิยมการใช้อำนาจบาทใหญ่ ไม่นิยมการใช้ความเห็นหรืออารมณ์ส่วนตัวมาตัดสินความขัดแย้งต่างๆ
น่าเสียดายและน่าเสียใจที่ชนชั้นกลางและชั้นนำของไทยจำนวนมากกลับไม่สนใจในกรอบเหล่านี้ มัวแต่คิดว่า “ทำยังไงก็ได้ ขอให้ได้ผลตามที่ข้าต้องการก็พอ ในเมื่อทักษิณมันเหี้ย ก็ต้องเอามันออกไปให้ได้ จะด้วยวิธีใดก็ตาม ไม่ต้องใช้วิธีตามรัฐธรรมนูญหรอก มันชักช้าอืดอาด เอาอะไรก็ได้ที่เห็นผลเร็วๆ...”
ผมเห็นว่าเป็นความคิดที่สะเพร่าและตื้นเขินสิ้นดี... ซึ่งเมื่อประกอบกับสื่อมวลชนไทย ที่ผมเห็นว่ามีเสรีภาพสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น แต่กลับไม่มี “กึ๋น” พอ ตามเกมการเมืองของฝ่ายต่างๆไม่ทันแล้ว... สุดท้าย การยุติความขัดแย้ง(แบบชั่วคราว) ของเมืองไทยก็ลงเอยด้วยการทำรัฐประหารแบบที่เป็น
เสียดายแทนสังคมไทย... แทนที่เราจะได้เรียนรู้กระบวนการยุติความขัดแย้งในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบการเมืองการปกครองของไทย เรากลับทิ้งโอกาสนั้นไปแล้วถอยหลังเข้าคลอง โยนอำนาจความรับผิดชอบในการบริหารประเทศให้กับชนชั้นนำกลุ่มหนึ่งที่แต่งตั้งตัวเองขึ้นมาเป็นผู้บริหารประเทศ
เมื่อไหร่ล่ะ เราถึงจะมีโอกาสดีๆที่จะได้เรียนรู้การยุติความขัดแย้งแบบสงบและแบบศิวิไลซ์อีก?
ทั้งหมดนี้ ยิ่งประกอบกับความเย่อหยิ่งของ “ผู้มีบารมี” หลายคน รวมถึงความเชื่อของคนไทยส่วนใหญ่ที่ยังคิดว่า The King can do no wrong แล้ว... มันยิ่งทำให้สังคมไทยยังคงเป็นสังคมอำนาจนิยมที่อำนาจการบริหารถูกกลุ่มชนชั้นนำกลุ่มเล็กๆกุมไว้ โดยที่ประชาชนตาดำๆไม่มีสิทธิมีเสียงใดๆในการบริหารประเทศของตน
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
3 comments:
เคยมีคนเตือนสติพี่ว่า เรามีสิทธิเบื่อ ผิดหวัง หรือมีสิทธิมอบความรู้สึกในแง่ลบต่อการเมืองที่เป็นอยู่ได้ แต่เราไม่มีสิทธิท้อแท้ ไม่มีสิทธิไม่สนใจ และไม่มีสิทธิยอมแพ้ต่อสิ่งที่เป็นอยู่ เพราะความคิดเหล่านี้คือ หนทางที่ทำให้การเมืองยังคงเป็นอย่างที่มันเป็นอยู่ทุกวันนี้
พี่คิดว่าหลายเหตุการณ์ หลายเรื่องราว ที่ได้เกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เป็นสิ่งชี้วัดวุฒิภาวะ ของสังคมได้เป็นอย่างดี หากมองในแง่ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจะเป็นสิ่งเตือนใจให้เราเสมอๆ ว่า เมื่อเราใช้สติ เมื่อ "ตาสว่าง" เราจะพบว่าโลกนี้ไม่ได้มีแค่สองสี สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราเชื่อ หรือสิ่งที่เราถูกสอนให้เชื่อ ไม่ได้มีเพียงสี "ขาว" หรือ "ดำ" และพี่เชื่อว่านี่คือสิ่งสำคัญที่เป็นแรงผลักดันที่จะเป็นแปลงโครงสร้างการเมืองในอนาคต
สำหรับพี่ พี่คิดว่ามีคนไม่น้อยได้ตาสว่างแล้ว
อายแทนประเทศไทยจริงๆกับการกระทำล่าสุดของรัฐบาล ในการตอบโต้สิงคโปร์ด้วยการยกเลิกการประชุมซีเซ็บ...
ความสัมพันธ์ทางการทูตสร้างกันมานาน แต่การทำลายมันง่ายมากๆนะ แม้สิงคโปร์จะไม่ใช่เพื่อนบ้านที่ดีอะไร แต่มันก็น่าละอายที่ตอบโต้เขาด้วยเรื่องเล็กๆแค่นี้
อายจริงๆ ขอร้องเถอะอย่าทำให้นานาประชาโลกเค้าหัวร่อและดูถูกเมืองไทยและคนไทยมากไปกว่านี้อีกเลย
อำนาจ... ยิ่งมีมากยิ่งเหลิงมากจริงๆ ใช้จนเคยตัว จนลืมตัวกันใหญ่แล้ว
แล้วไอ้รัฐบาลเถื่อนชุดนี้เนี่ย ก็ไม่ได้มีผลงานอะไรเลย อย่างว่าแหละ ก็ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนนี่ ไม่มี accountability ไม่มี incentive จะทำงาน คงจะกลัวแต่ว่าจะโดนเช็คบิลหลังมีรัฐบาลชุดใหม่เสียกระมัง..
ตอนที่ปฏิวัติใหม่ๆ เพื่อนผมหลายคนบอกว่า เนี่ย ปฏิวัติแล้ว เหตุการณ์ต่างๆสงบแน่นอน ภาคใต้เนี่ยนายกทักษิณมันทำให้วุ่นวายเลวร้าย มันออกไปได้เหตุการณ์คงดีขึ้น...
ตอนนี้เป็นยังไง ก็เห็นๆกันอยู่...
ผมเชื่อแล้วว่าคนไทยมักง่าย มักง่ายและใจร้อนกับทุกเรื่องที่ควรจะรอบคอบและใจเย็น มีความขัดแย้งในบ้านเมือง ความเห็นไม่ลงรอยกัน มีประชุมประท้วงกันหน่อย ก็ทนไม่ได้แล้ว ก็หาทางออกด้วยการคิดสั้นด้วยการปฏิวัติเสียแล้ว...
แก้ปัญหาแบบขอไปทีแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่เราจะแก้ปัญหาและหาทางออกเป็นเสียที...
แล้วนี่ล่าสุดรายชื่อสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 25 คนออกมาแล้ว ผมรู้สึกละเหี่ยใจเหลือเกิน ดูแล้วรัฐธรรมนูญใหม่ก็คงไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นหรอก มันก็เป็นแค่กระบวนการหลอกประชาชน ทำให้คณะปฏิวัติมี legitimacy ในการทำงานแค่นั้นแหละ
ดูสิ 25 คนเนี่ย ส่วนใหญ่ก็เป็นนักกฎหมายแทบทั้งนั้น นักเศรษฐศาสตร์นี่ไม่มีเลย สู้คณะสสร.ที่ร่างปี 40 ไม่ได้เลย เหอๆ เห็นแล้วสุดเซ็ง
จริงๆแล้วรัฐธรรมนูญไม่ได้มีปัญหาหรอก ความคิดและกระบวนการคิดของคนไทยต่างหากที่มีปัญหา...
ทำใจได้กับ ความโกหก และ ต-อ-แ-ห-ล ของนักวิชาการ และ bloggers ที่จะเป็นจะตาย กับตอนนิติรัฐ สมัยทักษิณ ถูกละเมิด ได้หรือยัง .... ตอนนี้ มันหายหัวกันไปหมด เพราะ มันชอบรัฐบาลเผด็จการ หรือ ขี้ขลาดตาขาว ไม่ทราบ
ปล. พี่เอา บทความของ ปริเยศ มาฝาก ..... อ่านแล้ว สะใจดี
"วิญญูชนจอมปลอม"
นักวิชาการที่ อ้างตัวว่า ทรงคุณธรรม มีจิตใจสาธารณะ แล้วได้ทำการโจมตี อดีตนายกฯ ทักษิณ ในประเด็น ริดรอนสิทธิเสรีภาพ ประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อน การแทรกแซงสื่อ ฯลฯ (ประเด็นการโจมตี อดีตนายกฯทักษิณ ทั้งหมดหาอ่านได้จำพวกหนังสือ “พิษทักษิณ” “รู้ทันทักษิณ”และอื่นๆอีกหลายเล่ม) ในขณะเดียวกันเพิกเฉยต่อแสดงออกต่อการกระทำประเภทเดียวกันของรัฐบาลทหาร เราจะเรียกนักวิชาการจำพวกนี้ว่าอย่างไร???
ณ วันนี้ ผมคิดว่าผมได้เห็น ธาตุแท้ของพวกนักวิชาการ มากขึ้นเรื่อยๆ พวกนักวิชาการสังคมศาสตร์ทั้งหลาย หรือ “นักวิชาการรู้ทัน” พวกท่านไม่มีความเป็นมืออาชีพในงานวิชาการ นี่นับว่าเลวร้ายพออยู่แล้ว ณ วันนี้ พวกท่านกำลังแสดงออกว่า พวกท่านไม่มีหลักการใดๆ เหลืออยู่เลย ที่ประกาศตน โจมตีรัฐบาลชุดที่แล้วว่า “แทรกแซงสื่อ ” “ผลประโยชน์ทับซ้อน” “ทักษิณไม่มีความเป็นประชาธิปไตย” และ ฯลฯ ถึงวันนี้หลักการที่เคยโจมตีรัฐบาลชุดที่แล้ว หายไปไหนหมด
เมื่อดูหลักการที่ใช้โจมตีทักษิณอาทิเช่น “ผลประโยชน์ทับซ้อน” รบกวน ดูการอนุมัติงบประมาณของรัฐบาลในส่วนของความมั่นคงและงบลับของทหารหลัง19กันยายน การดำรงตำแหน่งในบอร์ดรัฐวิสาหกิจของทหาร รวมทั้งผลประโยชน์ของนักวิชาการรู้ทันทั้งหลายหลัง 19กันยายน “การแทกแซงสื่อ” รบกวนช่วยดู สิ่งที่เรียกว่าการขอความร่วมมือของ คมช.ต่อสื่อสารมวลชนและการเซ็นเซอร์ข่าวสาร “การไม่มีวิญญาณประชาธิปไตย” รบกวนช่วยดูเหตุการณ์หลัง 19กันยาเป็นต้นมาด้วยว่าตรงไหนที่เรียกว่าจิตวิญญาณประชาธิปไตย แต่ไม่มีใครเห็นหลักการที่เคยใช้โจมตีทักษิณและรัฐบาลไทยรักไทย งอกมาในรัฐบาลชุดนี้จาก “นักวิชาการรู้ทัน” พวกนี้เลย
แล้วข้ออ้างเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนและการคุกคามสิทธิเสรีภาพที่ใช้โจมตีรัฐบาลทักษิณ วันนี้พิสูจน์แล้วว่า หลักการนั้นใช้เฉพาะโจมตีทักษิณและพรรคไทยรักไทยเท่านั้น
ผมเชื่อว่าถ้ารัฐบาลและคมช.จัดการเลือกตั้งอีกครั้งในกติการัฐธรรมนูญ 2540โดยไม่ให้ยุบพรรคใดๆทั้งสิ้น และผมเชื่อว่าแม้คมช.อายัดเงินของแกนนำพรรคไทยรักไทยโดยเฉพาะ “ทักษิณ” และให้ใช้เงินในการเลือกตั้งตามกติกาเท่านั้น ผมเชื่อว่าทักษิณและพรรคไทยรักไทย จะชนะการเลือกตั้งถล่มทลายในภาคเหนือ อีสาน ภาคกลาง สำหรับส่วนในกรุงเทพฯผมมั่นใจว่าเขาจะได้คะแนนเสียงแบบเขตมากกว่า25ที่นั่ง ซึ่งถือเป็นที่นั่งส่วนใหญ่ของกรุงเทพฯ เมื่อรวมทั้งหมดทั่วประเทศไทยทั้งสส.แบบเขต และแบบบัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทยจะได้เสียงส่วนใหญ่ของสภาผู้แทนราษฏร จนจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้อยู่ดี เพียงแต่คะแนนเสียงที่นั่งทั้งแบบเขตและแบบบัญชีรายชื่ออาจจะเกินครึ่งมาไม่มาก เท่าที่ผมประเมินน่าจะได้ที่นั่งประมาณ265-285ที่นั่ง ซึ่งเพียงพอในการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวด้วยซ้ำไป เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะประชาชนที่เลือกพรรคไทยรักไทยไม่ว่าจะเป็นรากหญ้า รากแก้ว ชนชั้นกลางเมือง เขามีเหตุผลและความจำเป็นของเขา ไม่ใช่เพราะว่าเขาถูกเงินซื้อ ไม่ใช่เพราะเขาโง่ อย่างที่นักวิชาการรู้ทันทั้งหลายพยายามประกาศ ซึ่งผมไม่เข้าใจ ว่า พวกนักวิชาการรู้ทันพวกนี้ ถือดีอย่างไรในการที่จะไม่เห็นด้วยกับคะแนนเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน
เพราะการเลือกพรรคไทยรักไทยและตัวทักษิณ ก็มาจากบริบทวัฒนธรรม สังคม เศรษฐกิจของไทยตาม “ระบอบประชาธิปไตย” อันนี้คือหลักการแรกสุดของระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่มาจากการพิพากษาของคนกลุ่มอย่างนักวิชาการรู้ทัน ที่ตัดสินโดยข้ามหัวคนส่วนใหญ่ของประเทศ และการปฏิเสธเสียงของคนส่วนใหญ่ของประเทศ คือการข้ามบริบท วัฒนธรรม สังคม เศรษฐกิจของไทย นั่นแหละ
นักวิชาการรู้ทันพวกนี้ โดยมากมีประวัติในการกล่าวอ้างโจมตีนักการเมืองให้เคารพเสียงประชาชน แต่พวกตนไม่เคยเคารพกติกาและเสียงประชาชนเลย
เมื่อดู “ประวัติ” หลายต่อหลายท่านเคยรับใช้พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามพรรคไทยรักไทย แต่กลับไม่เคยระบุถึงความสัมพันธ์เช่นนี้ใน “หนังสือ” หรือ “บทความ” พวก “พิษทักษิณ” หรือ “รู้ทันทักษิณ” ต่างจากกติกาตลาดหลักทรัพย์ที่กำหนดให้นักวิเคราะห์หลักทรัพย์และบริษัทหลักทรัพย์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับผลประโยชน์ในบริษัทที่ตนเขียนบทวิเคราะห์ ต้องเขียนถึงความสัมพันธ์ดังกล่าวให้สาธารณะชนรับทราบในบทวิเคราะห์ว่าผลประโยชน์ของบริษัทหลักทรัพย์กับบริษัทที่ตนทำการวิเคราะห์มีผลประโยชน์ทับซ้อนกันอย่างไร
ผมจำได้ สมัยที่มีวิวาทะในโลกบล็อกเกอร์เรื่อง “พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน” เมื่อเกือบ 2ปีที่แล้ว บล็อกเกอร์บางท่าน ผู้ที่แสดงหลักการสูงส่งอยู่เสมอ มีอาการภูมิแพ้กำเริบ จะเป็นจะตายกับกฏหมายที่ริดรอน สิทธิเสรีภาพ และให้อำนาจเจ้าหน้าที่โดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม ผมยังแซวบล็อกเกอร์ท่านนั้นว่าอาการภูมิแพ้ของท่านน่าจะเป็น “อาการภูมิแพ้ทักษิณ” หาใช่ภูมิแพ้กฏหมายที่ริดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชนไม่ ซึ่งวันนี้ ความเข้าใจผมน่าจะถูก เพราะในยุคกฏอัยการศึกมากว่า 4เดือน ในยุคที่ไปใหนมีทหารถืออาวุธเต็มบ้านเต็มเมือง ผมไม่เคยได้ยินว่าบล็อกเกอร์ท่านนั้น มีอาการภูมิแพ้กำเริบเลย จึงน่าจะสรุปได้ว่าปฐมโรคของภูมิแพ้ น่าจะมาจากภูมิแพ้นักการเมืองฝ่ายตรงข้าม มากกว่าหลักการสูงส่งอะไรที่ยกมาแสดงในวิวาทะครั้งกระโน้น
ผมไม่เข้าใจว่า “pragmatist” แบบไทยๆ นี่คือการไม่เลือกวิธีการใช่หรือไม่ เพื่อทำลายพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม เพื่อทำลายนายกรัฐมนตรีที่พวกตนชิงชังถึงกับไม่เลือกวิธีการ โยนหลักการทิ้งไปผมไม่แน่ใจว่าควรใช้คำว่าโยนหลักการทิ้งไปหรือไม่ เพราะดูเหมือนว่านักวิชาการรู้ทันพวกนี้ ไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่า หลักการอะไรอยู่แล้ว เมื่อไม่มีหลักการ จะใช้คำว่าโยนทิ้งไปได้อย่างไร
ในฐานะนักสัมฤทธิผลนิยมคนหนึ่ง ผมไม่เคย ที่จะใช้ทุกวิธีโดยไม่คำนึงหลักการ นักสัมฤทธิผลนิยมที่ผมรู้จัก ก็ยังต้องมีหลักการเป็นเครื่องกำกับ ถ้าใช้ทุกวิธีทางโดยไม่คำนึงถึงหลักการ นั่นคือ “คนต่ำช้าแล้ว”
ในระบอบประชาธิปไตย หลักการแรกสุดคือ “อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน” และตามด้วย “สิทธิเสรีภาพ” ในยุคปัจจุบันเราเคยเห็นนักวิชาการรู้ทันคนไหนยังนึกถึงหลักการแรกสุดของระบอบประชาธิปไตยนี้หรือไม่ แล้วหลักสิทธิเสรีภาพที่เคยใช้จนเฟ้อในรัฐบาลที่แล้ว หายไปไหน???
ในยุคปัจจุบัน ผมไม่เคยเห็นหลักการที่นักวิชาการรู้ทันออกมาสำแดงในยุครัฐบาลชุดที่แล้ว ทั้งๆที่ในยุคนี้แหละที่อำนาจอธิปไตยของประชาชนถูกยึดคืน สิทธิเสรีภาพในวันนี้ คงไม่ต้องเขียนมากว่าเป็นอย่างไร แต่น่าจะทราบว่า เทียบกับยุครัฐบาลที่แล้ว สิทธิเสรีภาพแตกต่างกันแค่ไหน
ในยุคนี้แหละ ยุคปัจจุบันนี่แหละทีเรียกร้องหลักการ “สิทธิ เสรีภาพ” เรียกร้องหลักการ “ประชาธิปไตย” มากกว่ายุคที่แล้ว
ในยุคนี้ มีใครเคยเห็นหลักการ จากหนังสือ “พิษทักษิณ” และ “รู้ทันทักษิณ” ออกมาเพ่นพ่านบ้าง
และถ้า pragmatist แบบนักวิชาการรู้ทันเหล่านี้ ทำให้ผลประโยชน์ของประเทศไทยและคนไทยส่วนใหญ่ น้อยลงไปกว่าสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยล่ะ
และ ถ้า pragmatist แบบนักวิชาการรู้ทันเหล่านี้ทำให้ สังคมถอยหลังไปกว่าสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยล่ะ
นักวิชาการรู้ทันเหล่านี้ในฐานะ pragmatist จะรับผิดชอบอะไร และใครตัดสินว่าผลประโยชน์ของใครให้มากกว่าใคร หรือให้นักวิชาการรู้ทันเหล่านี้ออกข้อสอบและสอบเอง วัดผลเองแล้วบอกว่าตนเองนี่แหละทำให้ประเทศนี้ดีกว่ารัฐบาลพรคไทยรักไทยและสังคมไทยได้ประโยชน์จากพวกตนมากกว่าพรรคไทยรักไทย ถ้าเอาอย่างนั้น แล้วใยไม่ลงสมัครเล่นการเมืองกันตรงๆ หรือกลัวว่าประชาชนในฐานะคนให้คะแนน ไม่ใช่ประชาชนในฐานะลูกไล่ หรือผู้จงรักภักดีที่ต้องเชื่อฟังนักวิชาการ
นักวิชาการรู้ทันพวกนี้ อ้างเสมอว่าตนเป็นผู้มีจิตใจสาธารณะ ทำเพื่อสังคม ซึ่งอันที่จริงผมอยากทราบว่าสังคมไทยได้ประโยชน์อะไร จากนักวิชาการรู้ทันพวกนี้ นอกจาก การออกมาเพ่นพ่านด่ากล่าวทอโจมตีนักการเมือง ผมอยากรู้จริงๆว่า งานในหน้าที่ของคนเหล่านี้ไปอยู่เสียที่ตรงไหน เรื่อง Publications เรื่องการยกระดับองค์ความรู้สังคมศาสตร์ไทย โดยเฉพาะสาขาเศรษฐศาสตร์ โดยประสบการณ์ส่วนตัวที่เรียนเศรษฐศาสตร์ ผมรู้สึกนักวิชาการสายเศรษฐศาสตร์ จะกร่างสุดๆ ทั้งๆที่ contributions อะไร แก่สังคมไทยอยู่ในระดับที่น้อยมาก
ถ้าวัดกันตามมาตรฐานวิชาการตะวันตก นักวิชาการเศรษฐศาสตร์รู้ทันพวกนี้ ต้องถูกไล่ออกจากวิชาชีพนักวิชาการทั้งหมด เพราะมุ่งแต่เคลื่อนไหวทางการเมืองและเขียนบทความด่านักการเมืองฝ่ายตรงข้ามตนเองในหนังสือพิมพ์ โดยไม่ทำงานตามวิชาชีพ คือ“การทำวิจัย”
เมื่อดูผลงานเขียนของนักวิชาการรู้ทันพวกนั้นที่ออกมากร่างนอกมหาวิทยาลัยในหน้าหนังสือพิมพ์ ผมอยากจะทราบว่า ผลงานเขียนเหล่านั้นมีอะไรที่ทรงคุณค่าบ้าง เห็นมีแต่สรุปรายงานจาก ธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และเอาข่าวจาก The Economist หรือข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ มาเขียนใหม่ หรือแม้แต่ขโมยความคิดจากนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ต่างประเทศแล้วมาเขียนพากษ์ไทย ผมเชื่อได้เลยว่า พอพวกนี้จนปัญญาก็จะเขียนบทความแบบ Pop Economics อธิบายเศรษฐศาสตร์ง่ายๆ เพื่อหากิน
ผมเสียดายจริงๆ ถ้าดีที่สุดทำได้แค่การตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ จะเสียเวลาไปเรียนปริญญาเอกกันให้วุ่นวายเปลืองเวลา เปลืองทรัพยากรทำไม แต่อย่างว่าในวัฒนธรรม สังคมไทย คนเรียนเอกใหญ่กว่าคนเรียนโท คนเรียนโทน่าเชื่อถือกว่าคนเรียนตรี คนเรียนตรีดูดีกว่าคนที่ไม่จบตรี และคนจบต่างประเทศด้วยDegree สูงๆ เสียงดังกว่าคนจบในประเทศ แต่พอมาดูผลงานเป็นรูปธรรม อาจจะได้ภาพอะไรที่ชัดเจนกว่าใบปริญญาก็ได้
ผมเคยวิวาทะกับนักวิชาการรู้ทัน ในประเด็นนี้ ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรมากไปกว่า การอ้างว่าตนเอง “มีจิตใจสาธารณะ” “เคียงข้างคนจน” (โดยเฉพาะพวกที่เรียนเศรษฐศาสตร์นอกกระแสหลักจะภูมิใจในการกล่าวอ้างนี้เป็นพิเศษ) “มีคุณธรรมความดีงามที่สูงกว่าคนทั่วไป” ถึงสามารถโจมตีคนอื่นเรื่องการคอร์รับชั่น ผลประโยชน์ทับซ้อนและการละเมิดสิทธิเสรีภาพของสื่อสารมวลชน และสิทธิเสรีภาพประชาชนได้
ซึ่ง ณ วันนี้ ก็เห็นชัดๆ ว่าภายใต้หลักการที่สูงส่ง ถูกใช้เป็นแค่เครื่องมือในการโจมตีกันทางการเมืองเท่านั้นเอง
“จิตใจสาธารณะ” ที่อ้างกันจนเฝือในการแสดงออกของนักวิชาการรู้ทัน ทำให้ผมไม่แน่ใจว่า “จิตใจสาธารณะ” จะคล้ายๆกับสินค้าสาธารณะ(Public Goods) ในทางเศรษฐศาสตร์หรือไม่ ทั้งนี้นิยามประการหนึ่งของสินค้าสาธารณะ กล่าวไว้ว่าสินค้าสาธารณะ (Public Goods) ยากต่อการกีดกัน มิให้ผู้อื่นมาร่วมบริโภคผลประโยชน์ได้หรืออีกนัยหนึ่งคือ สินค้าสาธารณะจะทำให้ประชาชนทุกคนได้รับประโยชน์ทั่วหน้ากัน
แต่เท่าที่เห็นจากหลักฐานเชิงประจักษ์ในปัจจุบัน ผมมั่นใจว่าไม่ใช่ เพราะจิตใจสาธารณะที่ประกาศตนของนักวิชาการรู้ทันเหล่านั้น เพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องเท่านั้น เพราะประโยชน์ที่ได้หลังรัฐบาลไทยรักไทยพังทลายลงไป จำกัดอยู่แต่จำเพาะพวกของตนเอง ในขณะที่อธิปไตยของประชาชนและสิทธิเสรีภาพของประชาชนไทยทั้งหมด ถูกทำลายไปในนามของ “จิตใจสาธารณะ” ของนักวิชาการเหล่านี้ ดังนั้น “จิตใจสาธารณะ” ของนักวิชาการรู้ทัน หาได้เท่ากับ “สินค้าสาธารณะ” ไม่
ในแง่นี้ นักวิชาการสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดูจะเป็นผู้สร้างคุณประโยชน์ไทยมากกว่า เพราะความก้าวหน้าทางแพทย์ศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ของไทยไม่เป็นรองใครมากและมีส่วนช่วยพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมไทยมากกว่าพวกนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ ผมล่ะกลัวเหลือเกินว่าพวกนักวิชาการในสายแพทย์ศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีอาทิ วิศวกรรมศาสตร์จะละทิ้งหน้าที่หลักในการวิจัยและการสอนหนังสือ ไปประพฤติเยี่ยงนักวิชาการสายเศรษฐศาสตร์ เพราะนั่นจะส่งผลให้ประเทศไทยถอยหลังอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับผม นักวิชาการรู้ทันเหล่านี้ ยังไม่อาจจะเปรียบได้อย่าง คุณ Etat de droit ที่ยืนหยัดในหลักการของตนในการโจมตีรัฐบาลชุดที่แล้ว จนถึงรัฐบาลชุดนี้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย หรือแม้แต่คุณ Pinkerton ที่เคยโจมตีรัฐบาลทักษิณอย่างต่อเนื่องมาตลอด แต่พอเห็นการฉีกรัฐธรรมนูญก็ออกมาโจมตีคณะทหารและคมช. แม้แต่กระทั่งบุคคลอย่าง คุณ Crazy Cloud ที่ต่อต้านทักษิณและไทยรักไทย ไม่อ้างหลักการสูงส่งอะไรมาก เขาเชื่อว่ารัฐบาลทักษิณและพรรคไทยรักไทย เป็นภัยต่อผลประโยชน์กลุ่มชาวนาและสังคมไทย เขาออกมาสู้กับทักษิณ ซึ่งๆหน้า “ไม่แอบลอบกัดและเห่าลับหลังในเวทีสัมมนาของนักวิชาการรู้ทัน” ผมยอมรับนับถือบุคคลเหล่านี้ แม้ความคิดต่าง แต่ถือว่ายืนหยัดในสิ่งที่ตนเชื่อ
ในขณะที่พวกที่อ้างตนเองว่าเป็น “ขาประจำ” ไม่ได้สู้ในระดับดังกล่าว พอรบชนะเสร็จเข้ามาตักตวงผลประโยชน์ เหมือนพรรคการเมืองหนึ่งในสมัย พฤษภาทมิฬ ไม่ได้ร่วมสู้อะไรเลย พอเขาชนะเสร็จออกใบปลิวรูป “ปรีดีกับป๋วย” นั่งข้างกันและยกเอาประโยคของท่านมาทำลายคู่แข่งทางการเมือง ทั้งๆที่พรรคการเมืองพรรคนั้นเป็นพรรคที่ทำลาย “ปรีดี” มากๆพอกับกลุ่มอนุรักษ์นิยมกลับสามารถละหลักการเอารูปของปรีดีมาโฆษณาอย่างไม่ขัดเขิน ซึ่งในนักวิชาการรู้ทัน มีหลายท่านเคยรับใช้พรรคการเมืองดังกล่าว ซึ่งคงไม่แปลกเพราะอุปนิสัยถอดแบบมาจากพรรคการเมืองนั้น อย่างไม่ผิดเพี้ยน
หลังจากนี้ต่อไป ประเทศไทยต้องใช้เวลาอีกนานในการก้าวข้ามความแตกแยกของสังคมครั้งนี้ และต่อไป คงจะยากที่ภาคประชาชน จะเชื่อถือนักวิชาการสังคมศาสตร์ไทย ดังนั้นนักวิชาการรู้ทัน ในความปรารถนาดีของผม พวกท่านไม่มีทางเลือกอื่น จะสร้างศรัทธาแก่ประชาชนต้องกลับมาสร้างความเป็นมืออาชีพของตนให้สังคมยอมรับด้วยการทำวิจัย/ยกระดับองค์ความรู้สังคมศาสตร์ให้ก้าวหน้า ไม่ใช่การยกหลักการสูงส่งเป็นเครื่องในการโจมตีกันทางการเมือง หรือเฝ้าแต่ประกาศตนเป็นคนดีดังที่แล้วมา
Last Update : 27 มกราคม 2550 9:17:31 น.
Post a Comment