Tuesday, January 16, 2007

สุดทนการเมืองไทย


ตอนแรกว่าจะเขียนบล็อก ปีใหม่และการเดินทางของหัวใจ ให้จบ แต่ตอนนี้อารมณ์ไม่ดีเลย เพราะสุดจะเหลืออดเหลือทนกับเรื่องราวทางการเมืองในบ้านเรา

จริงๆ ผมคิดไว้ว่าจะไม่เขียนเรื่องการเมืองหรือเรื่องราวเกี่ยวกับการปฏิวัติลงบล็อก เพราะคิดว่าทุกคนคงได้สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นนี้ในโอกาสอื่นๆมามากแล้ว ผมเองก็คุยเรื่องนี้เสียจนเบื่อ ไม่อยากจะมาเขียนลงบล็อกอีก

แต่ตอนนี้มันทนไม่ไหวแล้วครับ เซ็งและหงุดหงิดมาก ขอระบาย (ด้วยเหตุด้วยผล) หน่อยเถอะ

นาทีแรกที่ผมได้ยินข่าวเรื่องการทำรัฐประหารในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ผมไม่เชื่อว่าประชาชนหรือนักวิชาการหรือผู้นำทางสังคมจะยอมรับการทำรัฐประหารครั้งนี้ ผมคิดว่าสังคมเราเติบโตมากพอและฉลาดพอที่จะมองเห็นว่าการทำรัฐประหาร - การล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยชอบของประชาชน – เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและสมควรแก่การถูกประณาม

วันรุ่งขึ้นหลังจากการทำรัฐประหาร ผมก็เพิ่งเข้าใจว่าผมคิดผิดไปอย่างสิ้นเชิง

ผมเสียใจกับการทำรัฐประหารครั้งนี้ ผมผิดหวังกับ “ปัญญาชน” ผู้นำทางสังคม นักการเมือง และสื่อมวลชนส่วนใหญ่

การยึดเอาอำนาจการบริหารประเทศจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ก็ไม่ต่างอะไรกับการยึดเอาอำนาจและสิทธิเสรีภาพของประชาชนไทยไปโดยพลการ ถือเป็นการดูถูกและไม่ให้เกียรติคนไทยอย่างที่ผมรับไม่ได้

ขนาดผมไม่ได้ชื่นชอบและไม่เคยเลือกพรรคไทยรักไทย ผมยังรับไม่ได้เลยที่คณะรัฐประหาร (ไม่อยากเรียกคณะปฏิรูปฯ เพราะชื่อมันหลอกหลวงชัดๆ) มาขโมย “เสียง” ของผมไปดื้อๆ ยังไม่นับเสียงประชาชนอีกสิบกว่าล้านเสียง... คุณไม่สนใจความรู้สึกและไม่ยอมรับความคิดเห็นของพวกเขาเลยหรือ?

ทุเรศ...

พวกคุณเป็นใครถึงมีสิทธิพิเศษที่จะยึดอำนาจของผมไป? เป็นพระเจ้ามาจากไหนที่จะมาแต่งตั้งใครมาเป็นนายกฯ แต่งตั้งใครมาเป็นผู้บริหารประเทศ? คุณรู้ได้อย่างไรว่าคุณดีกว่าเก่งกว่ารัฐบาลชุดก่อนที่คุณล้มไป? คุณมีสิทธิอะไรมาห้ามมิให้จัดการชุมนุมทางการเมืองอย่างสงบ?

คุณมีสิทธิอะไรมาแต่งตั้งคนกลุ่มหนึ่ง (คตส.) ขึ้นทำหน้าที่ตรวจสอบทุจริตรัฐบาลชุดก่อน แถมยังเลือกแต่คนที่เป็นอริกับไทยรักไทยมาอยู่ในคณะกรรมการ ทั้งๆที่การตรวจสอบสืบสวนให้คุณให้โทษใครควรต้องกระทำโดยคนที่มีความเป็นกลางที่สุด หรืออย่างน้อยก็ต้องไม่ใช่คนที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับผู้ถูกตรวจสอบอย่างชัดเจนเช่นนี้

และล่าสุด... คุณมีสิทธิอะไรมา “ขอความร่วมมือ” สื่อมวลชนไม่ให้เสนอข่าวความเคลื่อนไหวทางการเมืองของอดีตนายกฯ? คุณอ้างว่า “เพื่อป้องกันความขัดแย้งและรักษาความสงบเรียบร้อย” ของประเทศ... อืม... มันทำให้ผมนึกย้อนไปถึงปีที่แล้ว ก่อนการรัฐประหาร ทำไมคุณไม่ออกมาเรียกร้องให้ฝ่ายต่างๆที่พยายามกระตุ้นอารมณ์ผู้คนเพื่อสร้างความขัดแย้งแบบรุนแรง อยู่ในความสงบบ้างล่ะ? อย่างนี้มัน Double Standard นี่...

และที่สำคัญ ความขัดแย้งเป็นเรื่องปรกติของสังคมไม่ใช่หรือ? ประชาธิปไตย แม้จะไม่ใช่ระบอบการปกครองที่สมบูรณ์แบบ ก็ได้วางกรอบการยุติความขัดแย้งต่างๆ อย่างสงบไว้ให้แล้ว เป็นกรอบที่มีกฎเกณฑ์และพยายามให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่นิยมการใช้อำนาจบาทใหญ่ ไม่นิยมการใช้ความเห็นหรืออารมณ์ส่วนตัวมาตัดสินความขัดแย้งต่างๆ

น่าเสียดายและน่าเสียใจที่ชนชั้นกลางและชั้นนำของไทยจำนวนมากกลับไม่สนใจในกรอบเหล่านี้ มัวแต่คิดว่า “ทำยังไงก็ได้ ขอให้ได้ผลตามที่ข้าต้องการก็พอ ในเมื่อทักษิณมันเหี้ย ก็ต้องเอามันออกไปให้ได้ จะด้วยวิธีใดก็ตาม ไม่ต้องใช้วิธีตามรัฐธรรมนูญหรอก มันชักช้าอืดอาด เอาอะไรก็ได้ที่เห็นผลเร็วๆ...”

ผมเห็นว่าเป็นความคิดที่สะเพร่าและตื้นเขินสิ้นดี... ซึ่งเมื่อประกอบกับสื่อมวลชนไทย ที่ผมเห็นว่ามีเสรีภาพสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น แต่กลับไม่มี “กึ๋น” พอ ตามเกมการเมืองของฝ่ายต่างๆไม่ทันแล้ว... สุดท้าย การยุติความขัดแย้ง(แบบชั่วคราว) ของเมืองไทยก็ลงเอยด้วยการทำรัฐประหารแบบที่เป็น

เสียดายแทนสังคมไทย... แทนที่เราจะได้เรียนรู้กระบวนการยุติความขัดแย้งในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบการเมืองการปกครองของไทย เรากลับทิ้งโอกาสนั้นไปแล้วถอยหลังเข้าคลอง โยนอำนาจความรับผิดชอบในการบริหารประเทศให้กับชนชั้นนำกลุ่มหนึ่งที่แต่งตั้งตัวเองขึ้นมาเป็นผู้บริหารประเทศ

เมื่อไหร่ล่ะ เราถึงจะมีโอกาสดีๆที่จะได้เรียนรู้การยุติความขัดแย้งแบบสงบและแบบศิวิไลซ์อีก?

ทั้งหมดนี้ ยิ่งประกอบกับความเย่อหยิ่งของ “ผู้มีบารมี” หลายคน รวมถึงความเชื่อของคนไทยส่วนใหญ่ที่ยังคิดว่า The King can do no wrong แล้ว... มันยิ่งทำให้สังคมไทยยังคงเป็นสังคมอำนาจนิยมที่อำนาจการบริหารถูกกลุ่มชนชั้นนำกลุ่มเล็กๆกุมไว้ โดยที่ประชาชนตาดำๆไม่มีสิทธิมีเสียงใดๆในการบริหารประเทศของตน

Monday, January 01, 2007

ปีใหม่... การเดินทาง "ภายใน"... ตามหา "หัวใจ" ของตัวตน (1)

สวัสดีปีใหม่มิตรรักชาวบล็อกทุกท่านนะครับ...

ในช่วงวันหยุดปีใหม่นี้ ผมไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนไกลๆเป็นพิเศษ เหตุผลหลักก็เพราะผมไม่อยากไปแย่งชิงสินค้า บริการ และทรัพยากร กับผู้คนมากมายที่เดินทางท่องเที่ยวในช่วงนี้พร้อมๆกัน ผมไม่อยากให้การเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งสมควรจะเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนและการเรียนรู้ ต้องกลายเป็นช่วงเวลาแห่งความอลหม่านวุ่นวาย

ผมจึงเลือกที่จะนั่งเล่นนอนเล่นอยู่บ้าน แล้วหาอะไรทำไปวันๆตามแต่อารมณ์อยาก ไม่ต้องมีแผนการพิเศษอะไร ไม่ต้องมีกำหนดการใดๆมาบีบบังคับเหมือนช่วงวันปกติธรรมดาอื่นๆ สำหรับผมแล้ว นี่คือการพักผ่อนที่แสนสบาย

อย่างไรก็ตาม ถึงจะเป็นการหยุดพักผ่อนแบบง่ายๆ มันก็ต้องการเตรียมตัวล่วงหน้าบ้างเล็กน้อย โดยผมได้แวะไปร้านนายอินทร์สาขาท่าพระจันทร์เพื่อหาซื้อหนังสือดีๆมาไว้อ่านสักเล่มสองเล่ม ซึ่งผมก็ได้ “วิหารที่ว่างเปล่า” ของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล และ “เขียนฝันด้วยชีวิต” ของประชาคม สุนาลัย ติดมือกลับออกมา ตามคำแนะนำของเพื่อนคนหนึ่งและรุ่นพี่อีกคนหนึ่งผู้เป็นหนอนหนังสือตัวยง

ในยามที่ผมอยากใช้เวลาอยู่กับตัวเองและหลบหนีความสับสนวุ่นวายของโลกภายนอก ผมก็ยังแอบรู้สึกเหงาๆและเปล่าเปลี่ยวอยู่บ้างในการปลีกวิเวก ในช่วงเวลาเช่นนี้ หนังสือดีๆสักเล่มถือเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด… เพื่อนที่ทำให้เราอยู่กับตัวเองได้โดยไม่รู้สึกหว้าเหว่ ช่วยให้เราไม่รู้สึกเหงา แต่ก็ไม่ได้มารบกวนความเป็นส่วนตัวของเราแต่อย่างใด… คงด้วยเหตุนี้กระมัง คุณพ่อผมถึงได้ตั้งชื่อร้านหนังสือที่แกเคยเป็นเจ้าของว่า ร้านหนังสือ “เพื่อนรัก”

และผมก็ต้องขอขอบคุณ “วิหารที่ว่างเปล่า” ของ อ.เสกสรรค์ ที่แม้ผมเพิ่งจะอ่านมันไปได้แค่ครึ่งเล่ม แต่มันก็ช่วยเติมเชื้อไฟให้ผมเกิดพลังในการเขียนหนังสือขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากไฟนักเขียนมอดไปพักหนึ่ง… นี่กระมังคือพลังของหนังสือ พลังของงานวรรณกรรม ที่นอกจากจะทำให้คนอ่านมีช่วงเวลาดีๆจากการอ่านแล้ว ยังให้ “สิ่งพิเศษ” อื่นๆอีกมากแก่จิตใจและชีวิตของคนอ่าน

……………

วันเสาร์ที่ผ่านมา ผมตื่นประมาณเกือบเจ็ดโมงเช้า สูดอากาศเย็นๆสบายๆยามเช้าแล้วรู้สึกสดชื่นและมีความสุข

ผมถือว่าเป็นโชคดีของผมอย่างหนึ่งที่บ้านของผมไม่ได้อยู่ในตัวเมือง บ้านผมตั้งอยู่ในซอยๆหนึ่งบนถนนที่ไม่มีชื่อเฉพาะ แต่ผู้คนแถวนี้เรียกขานกันว่า ถนนสามสี่ห้า (ทางหลวงหมายเลข 345)

ถนนเข้าซอยบ้านผมนั้น แม้จะลาดยางไว้อย่างดี แต่พื้นถนนก็ไม่ได้ราบเรียบเป็นระนาบเดียวกันและมีหลุมมีบ่อบ้าง เป็นผลจากการที่มีรถบรรทุกดินหนักเกินพิกัดวิ่งผ่านอยู่เป็นระยะๆ ถนนจึงต้องมีการซ่อมปรับปรุงเกือบทุกปี แต่ถึงสภาพถนนในซอยจะไม่ดีนักเมื่อเทียบกับถนนในเมือง แต่บรรยากาศสองข้างทางกลับชดเชยได้เป็นอย่างดี

ถ้าไม่นับโรงปูนเล็กๆแห่งหนึ่งตรงปากทางเข้าซอย และหมู่บ้านจัดสรร 4-5 หมู่บ้านในซอยแล้ว สองข้างทางของซอยบ้านผมนั้นแทบไม่มีตึกแถวหรือสิ่งปลูกสร้างล้ำสมัยใดๆเลย ในทางกลับกัน ถนนในซอยถูกห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ ทุ่งนาข้าว สวนผลไม้ สระน้ำที่ใช้ทำนาบัว ตลอดจนบ้านปูนผสมไม้ของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่นนี้มานาน และยังมีวัดลำโพธิ์เป็นศูนย์รวมกิจกรรมของคนในชุมชน

เวลาขับรถเข้าซอย บางทีผมก็จะเห็นชาวบ้านพาเป็ดนับสิบตัวที่เลี้ยงไว้มาเล่นน้ำ บางวันโชคดีก็จะเห็นนกน้ำสีขาวนับร้อยตัวมาหาหอยหาปลากินในท้องนา ถือเป็นบรรยากาศสบายๆสไตล์ไทยๆที่ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่มีโอกาสได้สัมผัสสิ่งเหล่านี้อยู่ทุกวี่วัน แม้จะมีความไม่สะดวกในการเดินทางบ้าง แต่ผมก็คิดว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับอากาศดีๆและธรรมชาติแวดล้อมในบริเวณนี้

จะว่าไปแล้ว การกลับบ้านของผมในแต่ละวันก็อาจจะเปรียบได้กับการเดินทางไปพักผ่อนตามรีสอร์ทในต่างจังหวัด ทุกๆวันตอนเย็น ผมจากโลกแห่งการทำงานในเมืองหลวงอันศิวิไลซ์กลับเข้าสู่อีกโลกหนึ่งที่ยังสงบและเป็นธรรมชาติ ก่อนที่จะตื่นด้วยความสดชื่นเพื่อเข้าเมืองอีกครั้งในเช้าวันรุ่งขึ้น…

…………

กลับมาที่เช้าวันเสาร์อีกครั้ง…

หลังจากไปส่งน้องเรียนพิเศษภาษาจีนแถวบางแคในตอนเช้าเสร็จ ผมกับแม่ก็ไปเดินหาซื้อของขวัญปีใหม่ที่งานของขวัญที่กรมส่งเสริมการส่งออกและที่ตลาดนัดจตุจักรสักพัก หลังจากนั้นผมก็แยกไปขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอสโดยมีสถานีปลายทางอยู่ที่ “สนามกีฬาแห่งชาติ”

ผมห่างเหินจากสนามศุภชลาศัยมานานพอดู ครั้งล่าสุดที่มาที่นี่คือเมื่อตอนฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์เมื่อสามปีก่อน สำหรับในวันนี้ ผมไม่ได้มาในฐานะนักศึกษาเลือดเหลืองแดง แต่มาในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง

วันนี้… ผมมาเชียร์ฟุตบอลไทยเตะนัดชิงชนะเลิศกับเวียดนาม ในศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ บอลคู่นี้ถือเป็นคู่แห่งศักดิ์ศรี ใส่กันเต็มที่แน่นอน ผมเองมีเพื่อนชาวเวียดนามหลายคน พวกเขาบ้าบอลมาก บ้ากว่าคนไทยเสียอีก และพวกเขาต่างก็ต้องการล้มไทยผู้เป็น “พี่เบิ้ม” ในวงการฟุตบอลอาเซียนนี้ให้ได้

ถามว่าทำไมผมถึงลงทุนมาเชียร์ไทยถึงขอบสนาม ทำไมไม่นั่งดูทางทีวีสบายๆที่บ้าน? ผมเองก็ไม่แน่ใจนัก แต่ผมมีความรู้สึกแปลกๆว่าทีมชาติไทยชุดนี้มีอะไรพิเศษที่แตกต่างจากชุดก่อนๆในช่วง 2-3 ปีหลังที่ผ่านมาซึ่งทำให้ศรัทธาของแฟนบอลที่มีต่อทีมชาติไทยเสื่อมลงไปมาก แต่ทีมชุดนี้ จากการที่ผมได้ดูฟอร์มการเล่นในรอบแรกสามนัด ผมเห็นว่านักเตะชุดนี้ดูจะช่วยกันเล่นอย่างตั้งใจ แม้ฟอร์มการเล่นจะไม่ได้เลิศเลอและยังมีข้อผิดพลาดอยู่มาก แต่ก็ดูมีความตั้งใจเล่นเพื่อทีม ไม่มีการแอ๊ค ไม่เห็นแก่ตัว และไม่เล่นคน

เท่านี้แหละครับที่แฟนบอลอย่างผมขอ ตั้งใจฝึกซ้อม เล่นบอลให้สวยงาม สร้างสรรค์ และเล่นเป็นทีม ไม่ต้องไปฟุ้งซ่านตั้งเป้าสูงๆว่าจะเข้าฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายหรืออะไรหรอก ทำหน้าที่ให้ดีมีความเป็นมืออาชีพและมีความรับผิดชอบในการฝึกซ้อม การเล่นก็จะออกมาดีเอง… แค่นี้ก็ชนะใจคนดูแล้ว

ผมมาถึงหน้าสนามตอนบ่ายสองหน่อยๆ ปรากฏว่ามีแฟนบอลนับร้อยคนมายืนรอต่อแถวซื้อตั๋วกันที่ช่องขายตั๋วริมฟุตบาท แถวยาวเสียจนกินส่วนของถนนพระรามหนึ่งไปหนึ่งเลน ผมเข้าไปยืนต่อแถวกลางแดดร้อนอยู่ห้านาที แถวก็ไม่ขยับเลย จนแม่ค้าหมูปิ้งตรงนั้นตะโกนบอกว่าตั๋วยังไม่เปิดขายเลยนะ จะเริ่มเปิดขายตอนสามโมง เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผมเลยขอหลบแดดไปหาอะไรทำฆ่าเวลา สุดท้ายก็ไปลงเอยกับการอ่าน “วิหารที่ว่างเปล่า” ที่สตาร์บัคส์

ผมกลับไปที่หน้าสนามอีกครั้งตอนสี่โมงกว่า ผมซื้อตั๋วใบละร้อยสามใบ สำหรับน้องชายผมและเพื่อนผมอีกคนที่กำลังตามมาสมทบ

บรรยากาศหน้าสนามในวันนี้คึกคักมากที่สุดในรอบหลายปี ผู้คนทั้งหนุ่มสาว เด็ก ผู้ใหญ่ ต่างพากันหลั่งใหลเข้าสู่สนามอย่างต่อเนื่อง แม้คนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีอุปกรณ์การเชียร์ หรืออย่างมากก็อาจจะมีแค่ผ้าผืนเล็กๆลายธงชาติไทยผูกหน้าผาก (มีพ่อค้าแม่ค้าเดินขายอยู่หลายเจ้า ราคาผืนละ 10 บาท) แต่เมื่อสังเกตดูจากสีหน้าและสายตาของหลายคนแล้ว ผมคิดว่าวันนี้พวกเขาพกพาหัวใจมาเพื่อเชียร์ทีมชาติไทยอย่างแท้จริง

จริงอยู่ว่าแต่ละคนที่มาดูบอลไทยอาจจะมาเชียร์ไทยด้วยเหตุผลแตกต่างกันไป หรือบางคน (เช่นตัวผม) ก็อาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมเราจะต้องคอยเชียร์ทีมชาติของเราในการแข่งขันฟุตบอลหรือกีฬาชนิดอื่นๆด้วย แต่อย่างน้อยที่สุด ฟุตบอลและกีฬาก็มีพลังอำนาจที่จะเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนจำนวนมากที่มีภูมิหลังแตกต่างกันได้ ฟุตบอลและกีฬาสามารถทำให้จิตใจของคนในชาติหล่อหลอมรวมเป็นหนึ่งได้ มันทำให้เรามีจุดหมายปลายทางเดียวร่วมกันได้ แม้จะเป็นเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งก็ตาม

ตลอดเกมเก้าสิบนาที พวกเราและทุกๆคนในสนามต่างก็มีความสุขสนุกมากกับการเชียร์และลุ้นทีมชาติไทย เรียกว่าประทับใจมาก จริงๆแล้วผลการแข่งขันก็ไม่สำคัญเท่ากับการได้มาสัมผัสบรรยากาศติดขอบสนาม ไม่สำคัญเท่ากับภาพที่น่ารักประทับใจหลากหลายภาพที่ได้เห็น เช่น พ่อแม่พาลูกๆ (หรือลูกๆพาพ่อแม่?) มาดูบอลกันเป็นครอบครัว หรือภาพคู่รักหนุ่มสาวจูงไม้จูงมือกันมาเชียร์บอล หรือภาพคุณลุงคนนึงที่อุตส่าห์ไปหาแตรที่บีบได้ดังมากๆมาเป็นอุปกรณ์การเชียร์

ภาพต่างๆเหล่านี้ทำให้ผมนึกถึงความฝันของตัวเองที่คิดไว้ว่า สักวันหนึ่งผมจะต้องไปเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลฟุตบอลโลกให้ได้ จะไปคนเดียว ไปกับเพื่อน หรือไปกับครอบครัวก็ได้ ผมอยากเดินทางไปสัมผัสบรรยากาศของ World Cup Fever ในประเทศเจ้าภาพจริงๆสักครั้ง ไปเดินเที่ยวชมและนั่งเล่นในเมืองที่เป็นเจ้าภาพ หาเพื่อนใหม่ต่างชาติคุยเล่นตามประสาคนรักฟุตบอล และถ้าหาตั๋วได้ก็อยากจะเข้าไปชมการแข่งขันในสนามสักนัด ถ้าหาไม่ได้ก็ไปชุมนุมในลานที่มีจอทีวียักษ์ให้ชมก็ถือว่าได้บรรยากาศสุดยอดแล้ว

ฟุตบอลโลกสำหรับผม ไม่ได้หมายถึงแค่การแข่งขันภายในสนาม แต่มันประกอบด้วยทุกสิ่งทุกอย่างทั้งในสนามและนอกสนาม ชิ้นส่วนเล็กๆน้อยๆทั้งหลายเหล่านี้ร่วมด้วยช่วยกันทำให้ฟุตบอลโลกกลายเป็น “มหกรรม” หรือ “เทศกาล” อันยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ ลองคิดดูว่าหากประเทศเจ้าภาพทำเพียงแค่จัดการแข่งขันอย่างเดียว ไม่ได้เตรียมการเรื่องอื่นๆนอกสนามเลย ฟุตบอลโลกก็คงจะสิ้นมนต์ขลัง บรรยากาศของฟุตบอลโลกแบบนั้นคงจะจืดชืด ขาดคุณค่าและความหมาย คงจะสู้การแข่งฟุตบอลกีฬาสีในโรงเรียนประถมเมืองไทยที่มีเด็กๆเชียร์สีของตัวเองกันอย่างสนุกสนานครื้นเครงไม่ได้ด้วยซ้ำ…


คิดๆดูแล้ว ชีวิตคนก็คล้ายคลึงกันใช่หรือไม่... หลายครั้ง ผมรู้สึกว่าสิ่งเล็กๆน้อยๆในชีวิตกลับทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า มีสีสัน และมีความหมายได้มากกว่าความสำเร็จชิ้นใหญ่ที่เป็น "ทางการ" หลายเท่านัก

(เรื่องนี้ยังไม่จบนะครับ ไว้จะมาเขียนต่อเร็วๆนี้ครับ)