Sunday, November 19, 2006

ความเอย...ความรัก

ทำไมคนสองคนถึง “เลิกกัน” ทั้งๆที่เคยรักกัน เคยผ่านประสบการณ์ด้วยกันมามากมาย ภาพความทรงจำของแต่ละคนก็เต็มไปด้วยภาพของอีกคนหนึ่ง…

ทำไมนะ? พวกเขาไม่ “รัก” กันแล้วหรือถึงได้เลิกกัน?

บ่อยครั้ง… จุดเริ่มต้นของความรักมักไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน
บางที… จุดจบของความรักก็อาจจะเป็นแบบนั้นเช่นกัน

สำหรับผม การเลิกกันไม่ใช่จุดจบของความรัก ผมเชื่อว่าความรักและความผูกพันจะยังคงอยู่ในหัวใจของคนสองคนตลอดไป เพียงแต่การแสดงออกมันเปลี่ยนแปลงไป

จากประสบการณ์ของผม ผมได้เรียนรู้ว่า เช่นเดียวกับทุกสิ่งทุกอย่าง ความรักมันไม่แน่นอน วันนี้รักกันอยู่ดีๆ พรุ่งนี้ก็อาจมีบางสิ่งบางอย่างทำให้ความรู้สึกมันเปลี่ยนแปรไป

แต่แม้จะเลิกรากันไป ผมเลือกที่จะเก็บความทรงจำดีๆของเราเอาไว้ในใจเสมอ ผมจะไม่ยอมให้ช่วงเวลาที่ไม่ดีมาบดบังช่วงเวลาดีๆที่เราเคยมี จะไม่ยอมให้เรื่องราวร้ายๆมาครอบงำความรู้สึกดีๆที่เราเคยมีให้กันและกัน

หากผมย้อนเวลากลับไปได้และหยั่งรู้ว่าความรักของเราจะจบลงแบบไม่สมหวังในท้ายที่สุด ผมก็ยังจะเลือกมีความรักนั้นอยู่ดี… อย่างไม่ลังเลเลย…

สำหรับผม สิ่งสำคัญที่สุดในการมีความรัก คือการมีความสุขที่ได้รักคนๆหนึ่ง โดยไม่คาดหวังอะไรจากคนๆนั้น ถ้าเราคาดหวังให้เขารักเราตอบ เราจะมีความทุกข์ใจ ซึ่งมันจะมาบั่นทอนความสุขที่เราควรได้รับจากการรักคนๆนั้น

แน่นอน เราอาจ “หวัง” ว่าคนที่เรารักจะรักเรา แต่เราไม่ควร “คาดหวัง”

ความรักที่สมบูรณ์แบบไม่จำเป็นต้องเป็นรักสองฝ่าย; “ความรักข้างเดียว” หรือ “ความรักที่ไม่สมหวัง” ก็เป็นความรักที่สมบูรณ์แบบในตัวมันได้ ถ้าเราเลือกที่จะมองอย่างนั้น

การได้รัก ได้ห่วง ได้คิดถึง ได้รับฟัง ได้ช่วยเหลือใครสักคน ก็เป็นความสุขในตัวของมันเองแล้วมิใช่หรือ? การได้มีช่วงเวลาดีๆกับใครสักคนที่รู้ใจกันและกัน แม้เป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ก็เป็นความสุขในตัวของมันเองแล้วมิใช่หรือ?

ทุกอย่างอยู่ที่เราเลือกจะคิด เลือกจะมอง…

“อย่าร้องไห้ อย่าเสียใจ กับความรักที่จบลงอย่างไม่เป็นดั่งหวังเลย ให้รู้สึกว่าเราโชคดีแล้วที่ได้มีโอกาสมารักและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน” ผมอยากจะบอกเธอและบอกกับตัวเองเช่นนี้…

แม้บางครั้งมันจะเป็นรักข้างเดียว แม้บางครั้งมันจะนำมาซึ่งน้ำตา แม้บางครั้งมันจะไม่คงอยู่ตลอดไป… แต่ความรักก็สวยงามและมีคุณค่าในตัวมันเองเสมอ

ผมเชื่อเช่นนั้น

Monday, November 13, 2006

I hope you dance

I hope you never lose your sense of wonder
You get your fill to eat but always keep that hunger
May you never take one single breath for granted
God forbid love ever leave you empty handed

I hope you still feel small when you stand beside the ocean
Whenever one door closes, I hope one more opens
Promise me that you'll give faith a fighting chance
And when you get the choice to sit it out or dance...

I hope you dance
I hope you dance

I hope you never fear those mountains in the distance
Never settle for the path of least resistance
Living might mean taking chances but they're worth taking
Lovin' might be a mistake but it's worth making

Don't let some hell bent heart leave you bitter
When you come close to selling out, reconsider
Give the heavens above more than just a passing glance
And when you get the choice to sit it out or dance...

I hope you dance (Time is a real and constant motion always)
I hope you dance (Rolling us along)
I hope you dance (Tell me who)
I hope you dance (Wants to look back on their years and wonder where those years have gone)

(listen to the song at http://www.freedwings.com/dance.html)

Saturday, November 11, 2006

Overhead Think

ผมเพิ่งจะเริ่มทำ MSN Space เมื่ออาทิตย์ก่อนครับ

ถ้าว่างๆ ก็ขอเชิญเข้าไปเยี่ยมชมได้นะครับที่ overhead think โดยที่ในสเปซนั้นผมจะลง post สั้นๆ เบาๆ ชิลๆ ไม่ซีเรียส และก็จะเอารูปเวลาไปไหนมาไหนมาลงครับ

ชื่อสเปซอาจจะฟังดูแปลกๆนะครับ เรื่องของเรื่องคือเวลาเตะบอลผมมักอยากจะตีลังกาเตะหรือ overhead kick ให้ได้ แต่มันทำไม่ได้ (อาจเกิดจากเหตุผลด้านสรีระทางกายภาพของผม แฮ่ๆ) เลยเอาเป็นว่าขอตีลังกาคิดหรือ overhead think แทนแล้วกันครับ (ยังไงก็ไม่มีทางติดพุง)


Friday, November 10, 2006

สับสนและเสียดาย

ผมเรียนจบจากโครงการบีอีที่ธรรมศาสตร์มาก็เกือบๆ ครึ่งปีแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงชีวิตที่ลองเข้าทำงานในที่ทำงานจริงๆ เป็นครั้งแรก (ช่วงที่เรียนอยู่ มีปัญหาทางเทคนิคบางประการทำให้ไม่มีโอกาสได้ฝึกงาน)

ผมกำลังอยู่ในช่วงสับสนของชีวิต คงเหมือนกับบัณฑิตใหม่หลายๆ คนที่ยังไม่รู้ตัวเองว่าเราต้องการอะไร ชอบทำงานอะไร ไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรดีกับชีวิต ไม่แน่ใจว่าเลือกเดินไปทางไหน จะเรียนต่อหรือจะทำงานก่อนดี แล้วถ้าเรียนต่อ จะเรียนอะไร เรียนด้านไหน ที่ไหน เมื่อไหร่ จำเป็นต้องเรียนถึงปริญญาเอกไหม เรียนจบจะทำอะไร หรือถ้าจะทำงาน จะทำที่ไหนดี ทำนานแค่ไหนดี ฯลฯ

บางที ผมก็คิดว่าทำงานก่อนสักปีสองปีก็ดีนะ ทำให้เข้าใจโลกความเป็นจริงมากขึ้น ทำให้เห็นภาพของสังคมการทำงาน และทำให้รู้ว่าเราควรเรียนต่อด้านไหน เวลาไปเรียนต่อจะเข้าใจในสิ่งที่เรียนได้มากขึ้น รู้ว่าเรียนมาแล้วเอามาทำประโยชน์อะไรได้ แต่พอเห็นเพื่อนๆ บางคนไปเรียนต่อเลย ผมก็อิจฉาอยากไปเรียนบ้าง ไปเรียนโปรแกรมที่กว้างๆ (เช่นโปรแกรมของ SIPA, SAIS) ให้เสร็จๆ ไปแล้วค่อยกลับมาทำงานมาเรียนรู้งานทีหลัง ถ้าไปเรียนช้า กว่าจะจบก็อาจจะเริ่มมีอายุแล้ว

ทางเลือกมีหลายทาง แถมยังมีข้อจำกัดต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องอีก (โดยเฉพาะข้อจำกัดด้านการเงิน) และบางทีข้อจำกัดพวกนี้มันก็มาขัดกับความต้องการของตัวเราอีก ทำเอาปวดหัวเหมือนกัน แต่ผมก็คิดในแง่ดีว่าเรายังดีกว่าใครอีกหลายๆ คนที่มีทางเลือกน้อยหรือไม่มีทางเลือกเลยนะ

อืม... บล็อกนี้มีแต่บ่นแฮะ ต้องขอโทษอย่างยิ่งนะครับ คือบางทีผมรู้สึกว่าการได้เขียนระบายความสับสนในหัวออกมา มันทำให้เราเห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้น เข้าใจความคิดตัวเองมากขึ้น ไม่รู้ว่าท่านอื่นๆ เป็นเหมือนกันหรือเปล่า?

ผมคงทำงานดูก่อนสักปีสองปีล่ะครับ ค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบและสนใจจริงๆ ให้เจอก่อนแล้วค่อยไปเรียนต่อ แต่ถ้าเกิดมีโอกาสได้ทุนไปเรียนต่อเลยทันที ก็คงต้องรับทุนไปเรียนต่อเลย

ผมยอมรับว่าแอบอิจฉาคนที่มีเงินทุนไปเรียนต่อได้เองจัง แต่ไม่ได้ว่าหรือมีอคติอะไรนะครับ แค่รู้สึกว่าถึงแม้เงินจะซื้อความสุขหรือความสำเร็จไม่ได้ แต่เงินก็ซื้อ “โอกาส” ได้ เงินทำให้เราสามารถกำหนดจังหวะก้าวของชีวิตได้ง่ายและตรงกับความต้องการของตัวเราได้มากขึ้น

ที่เขียนมานี่คือไม่ได้คิดมากนะครับ มันเป็นความรู้สึกที่แว่บเข้ามาในหัว ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว เราก็ตั้งใจทำตัวเราเองให้ดีที่สุดในทุกๆ เรื่องไป ตามข้อจำกัดของชีวิตเรา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมา ก็ให้ยอมรับและปรับตัวไปกับมัน

ผมนึกถึงคำพูดของปราชญ์ท่านหนึ่ง (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นคำพูดของท่านอาจารย์พุทธทาส) ท่านสอนไว้ว่า ทำอะไรขอให้ทำให้ดีที่สุด แล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมา ก็ให้คิดซะว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง”

ทั้งหมดนั้นก็คือความสับสนในช่วงชีวิตตอนนี้ของผม ต่อมาขอว่าถึงเรื่องความเสียดายนะครับ

เรื่องของเรื่องก็คือ หลังจากเรียนจบและเริ่มทำงาน ผมรู้สึกเสียดายอะไรหลายๆอย่างที่ผมไม่ได้ทำในช่วงเวลาที่ผมเรียนที่บีอี

อย่างแรกที่ผมเสียดายมากๆ คือการที่ผมไม่ได้ไปเข้าค่ายอาสาพัฒนาชนบท ซึ่งผมมีโอกาสเลือกที่จะไป แต่ผมดันเลือกที่จะไม่ไป ผมมักยกเหตุผลต่างๆนานามาอ้าง เช่น “ช่วงนั้นต้องทำวารสารยุ่งมากๆ วารสารจะต้องออกแล้ว คงไปค่ายไม่ได้หรอก” และ “เฮ้ย ปิดเทอมทั้งทีขอพักเหอะ เรียนมาทั้งเทอมแล้ว เหนื่อยอ่า ขอพักเที่ยวๆ เล่นๆ อยู่ในกรุงได้ไหม”

ตอนนั้น อดีตแฟนผมพยายามชวนหลายครั้ง บอกว่าควรจะไปนะ ถ้าไม่ไปจะมาเสียดายทีหลังก็ทำอะไรไม่ได้นะ ซึ่งจริงๆ แล้วผมก็อยากไป แต่ความขี้เกียจและความอยากสบายมันดันชนะความอยากออกไปเรียนรู้ของผม ตอนนี้ พอทำงานแล้ว ชีวิตมีข้อจำกัดต่างๆ มากขึ้น โอกาสที่เราจะได้ไปหาประสบการณ์ออกค่ายลุยๆ แบบนั้น ถึงจะมีอยู่แต่มันก็มีน้อยนิดเหลือเกิน จนผมต้องมาบ่นให้ฟังนี่แหละครับ... บางทีคิดๆดูก็น่าขันที่ผมเคยไปออกค่ายถึงกลางป่าแอฟริกาใต้ แต่กลับไม่เคยไปสัมผัสกับชนบทไทยแบบจริงๆจังๆเลยสักครั้ง...

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมเสียดายมากเช่นกัน คือการที่ผมไม่ได้ร่วมกิจกรรมทำละคอนเวทีของบีอีอย่างจริงๆจังๆเลย (ข้ออ้างของผมก็คล้ายๆเดิมนั่นแหละครับ)

ผมไม่เคยเป็นสตาฟฟ์ละคอน มากที่สุดที่ทำคือช่วยทำคัทเอาท์บ้าง ช่วยจัดฉากติดป้ายอะไรเล็กๆน้อยๆ ช่วยติวไมโครให้น้องๆ และติว 460 ให้เพื่อนๆ แต่ทั้งหมดนั้นถือว่าน้อยมากๆ

ผมเสียดายโอกาสที่จะได้ทำงานร่วมกับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆในวงกว้าง เสียดายโอกาสที่จะมีช่วงเวลาที่เพื่อนๆหลายคนมี เช่น การได้ไปทำงานที่บ้านเพื่อนตอนกลางคืนจนดึกดื่นหรือค้างคืนไปเลย การซ้อมหรือทำฉากที่มหาลัยจนดึกดื่น บางคนหอบข้าวของมาค้างที่มหาลัยด้วยเลย

ผมเสียดายช่วงเวลาเหล่านี้ ซึ่งถึงแม้งานจะเยอะจะยากจะเหนื่อยอย่างไร ถึงแม้จะมีการทะเลาะขัดแย้งกันบ้าง ผมก็รู้ว่ามันต้องเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสุข เป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าในความทรงจำของเพื่อนๆทุกคนอย่างแน่นอน

------------------------------------------

ผมรู้ว่าทั้งหมดนี้มันเป็นอดีตที่ผมไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ แต่ที่มานั่งตัดพ้อบ่นถึงอดีตในบล็อกนี้ ลึกๆแล้วผมคงอยากจะเตือนตัวเองให้เรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียดายแบบนี้อีกในอนาคต และขอฝากเรื่องนี้ไว้เป็นข้อคิดให้รุ่นน้องๆที่มีโอกาสทำกิจกรรมอะไรต่างๆนั้น รีบไขว่คว้าโอกาสนั้นไว้เถอะครับ อย่าให้ต้องมานั่งเสียดายโอกาสที่ปล่อยให้หลุดลอยไปในภายหลังนะครับ...



"ออกไปมองฟ้าและน้ำที่กว้างใหญ่

ให้ได้กลิ่นดินที่ลมนั้นพัดเข้ามาจากสุดไกลตา

โลกอันกว้างใหญ่ เรามันแค่ใคร...

ออกไปมองฟ้าและน้ำที่กว้างใหญ่

ให้ได้กลิ่นดินที่ลมนั้นพัดเข้ามาจากสุดปลายฟ้า

โลกอันกว้างใหญ่ เลือกทางที่ไปของเธอ..."


You only have ONE life. Live it to the fullest!

Monday, November 06, 2006

ไก่จิกสิงห์ตายบนปากโอ่ง

มันสะใจจริงๆ ครับ เกมพรีเมียร์ลีกเมื่อคืนระหว่างไก่เดือยทองของผมกับเชลซี เป็นเกมคุณภาพคับแก้ว ทั้งสองทีมเปิดเกมบุกแลกกันได้มันจริงๆ

สเปอร์สเล่นได้สุดยอด ได้ใจมาก ตั้งแต่เชียร์สเปอร์สมา นัดนี้เป็นอีกนัดที่ต้องบันทึกไว้ว่านักเตะพลพรรคไก่เล่นได้เด็ดมากๆ เล่นด้วยความมั่นใจ ไม่เกรงกลัวศักดิ์ศรีแชมป์เก่าอย่างเชลซีเลย

จังหวะที่โดนมาเกเลเล่ซัดให้เชลซีนำไปก่อน ผมยอมรับว่าเสียขวัญไปเยอะ แต่ก็ยังมีความหวังลึกๆ ว่าสเปอร์สจะกลับมาได้

วินาทีที่ดอร์สันโหม่งทำประตูตีเสมอ ผมนี่กระโดดชกลมไปหลายหมัด ท่าเดียวกับที่ดอร์สันดีใจเลยครับ สะใจจริงๆ

หลังจากตีเสมอสำเร็จ กองเชียร์ในไวท์ ฮาร์ท เลน ส่งเสียงคึกคักและอื้ออึงมาก นักเตะไก่เหมือนได้ใจ ทำเกมรุกจนเชลซีปั่นป่วนอยู่พักใหญ่ ยิ่งเล่นยิ่งมั่นใจ มีโอกาสทำประตูหลายครั้ง โดยเฉพาะจังหวะที่เลนน่อนเลี้ยงหลบแอชลี่ย์ โคล แล้วโยนด้วยซ้ายให้คีนโฉบเข้ามาโหม่งข้ามคานไปนิดเดียว

ครึ่งหลัง สเปอร์สยังคงมีสมาธิกับเกมดี เล่นด้วยความมั่นใจเหมือนเดิม และมาได้ประตูนำจากจังหวะที่คีนลากเลื้อยทางกราบซ้าย โยกซ้ายโยกขวาหลอกบูลารูทซ์จนเสียหลัก แล้วโยนเข้ากลาง บอลมาเข้าทางเลนน่อน ตอนแรก ผมนึกว่าไอ้หนูเลนน่อนจะวอลเล่ย์ด้วยขวาทันที แต่เลนน่อนกลับล็อกบอลลงพื้นด้วยขวา (ทำเอาแอชลีย์ โคล ซึ่งประกบอยู่หลงไปเลย) แล้วไอ้หนูเลนน่อนก็ซัดด้วยซ้ายหนีมือฮิลาริโอเข้าไปอย่างสวยงาม

นาทีนั้น ไวท์ ฮาร์ท เลน แทบจะแตกเลยครับ ความรู้สึกมันสุดๆ แล้ว ผมกระโดด แล้ววิ่งรอบห้อง ทำท่าอะไรไม่รู้ด้วยความสะใจ ไม่ได้สะใจอย่างนี้มาตั้งแต่ตอนที่อิตาลีคว้าแชมป์โลกแล้ว ความรู้สึกพอๆ กันเลยครับ แม้ scale ของการแข่งขันมันจะต่างกันมากก็ตาม

แม้ช่วงท้ายเกม เชลซีจะพยายามบุกเข้าใส่ แต่สเปอร์สก็เหนียวแน่นและมีโชคช่วยมากพอที่จะรักษาสกอร์ 2-1 ไว้ได้จนจบเกม

จบเกมตอนตีหนึ่ง ผมพยายามนอน แต่นอนไม่หลับ เพราะ adrenaline หลั่งออกมามากมั้งครับ ความรู้สึกตื่นเต้น มันส์ สะใจ มันยังค้างอยู่

ต้องขอบคุณนักเตะสเปอร์สทุกคนที่ช่วยกันเล่น ช่วยกันไล่ แบบเต็มสูบ เลนน่อนเล่นได้แจ่มมาก เช่นเดียวกับคีน ส่วนเกมรับก็ต้องชมดอร์สันที่เหนียวแน่น มีสมาธิกับเกมตลอด และก็ชิมบงด้าด้วยที่ฝืนเล่นทั้งๆ ที่เจ็บตั้งแต่ต้นเกม แต่ก็สามารถเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม ตามประกบร็อบเบนได้ดีมาก เล็ดลี่ย์ คิง ก็เล่นดี เช่นเดียวกับโรบินสันที่เซฟลูกอันตรายได้หลายจังหวะ เบอร์บาตอฟก็เล่นดี ครึ่งแรกมีจังหวะเลี้ยงลุยทะลวงแนวรับเชลซีได้เหมือนกัน จีนาส กาลี โซโกร่า และเอก็อตโต้ก็เล่นได้ตามมาตรฐานของตัวเอง...

ขอบคุณที่ทำให้เราได้รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นสาวกไก่ และขอบคุณที่ทำให้เราได้เห็นว่า หากคนเรามีความตั้งใจ มีความมุ่งมั่นเพียรพยายามแล้ว ต่อให้อะไรมันจะยากแค่ไหน มันก็เป็นไปได้เสมอ...

Friday, November 03, 2006

ข้อคิดจากแท็กซี่

เมื่อวานนี้ ผมนั่งแท็กซี่จากหน้าแบงก์ชาติไปลงแถวตลิ่งชัน

พี่คนขับแท็กซี่คันนั้นชื่อพี่สาคร คุยกันได้ความว่าเป็นคนร้อยเอ็ดโดยกำเนิด เข้ามาขับแท็กซี่ในกรุงเทพได้หลายปีแล้ว แต่ก็ไม่ได้ขับตลอด ช่วงในเป็นฤดูทำนาก็กลับไปทำนาที่บ้าน หมดฤดูทำนาก็เข้ามาขับแท็กซี่

แม้จะได้พบพี่สาครไม่ถึงชั่วโมง ผมสรุปได้ว่าพี่สาครเป็นคนที่รักสงบ พูดจาดีเรียบๆ มีความจริงใจ และที่สำคัญ พี่สาครมีกรอบวิธีการคิด วิธีการมองเหตุการณ์ต่างๆ ที่น่าสนใจ

พี่สาครพูดถึงการโดนตำรวจเรียกเมื่อวันก่อนแถวๆ หน้ามาบุญครอง คือจอดรับผู้โดยสารแป๊บเดียวก็โดนตำรวจเรียก หลังจากต่อรองกับตำรวจเสร็จก็จ่ายค่าปรับไป 50 บาท

พี่สาครพูดทั้งหมดนี้ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่ได้แฝงไปด้วยอารมณ์โกรธเคืองแต่อย่างใด แตกต่างจากแท็กซี่คนอื่นๆ ที่ผมเห็นมา ที่มักจะเล่าถึงการโดนตำรวจเรียกด้วยความโกรธเคือง

ยิ่งกว่านั้น พี่สาครยังพูดต่อว่า “แต่ผมก็เห็นใจตำรวจนะ บางทีก็ทำงานหนัก เหนื่อย บางคนไม่มีน้ำกิน ยืนโบกรถเช้าเย็น กว่าจะเลิกงานก็ต้องรอระบายรถให้หมดก่อน กลับบ้านก็ค่ำแล้ว”

แม้จะโดนเรียกโดนจับหลายครั้ง แต่พี่สาครก็ยังแสดงความเห็นอกเห็นใจตำรวจ ใช้เหตุผลในการวิพากษ์สถานการณ์เป็นกรณีๆไป ไม่ใช่ว่าพอโดนตำรวจจับก็จะเห็นตำรวจเป็นศัตรูหรือเป็นฝ่ายตรงข้ามที่จะต้องด่าต้องเกลียดไปซะทุกเรื่อง

ผมรู้สึกทึ่งในความมีเหตุผล จิตใจที่เปิดกว้าง และการรู้จักทำความเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นของพี่สาครมาก ผมคิดว่าพี่สาครมีเหตุมีผลและมีความเคารพในผู้อื่นมากกว่าผู้นำในสังคมและผู้มีการศึกษาหลายๆคนเสียอีก

ความขัดแย้งต่างๆในสังคมไทย ทั้งเรื่องเล็กไปจนถึงเรื่องใหญ่ สังเกตดีๆจะพบว่ามาจากการยึดถือเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ มีการเล่นพรรคเล่นพวก (เช่น ถ้าคุณอยู่ฝ่ายทักษิณ คุณก็คือศัตรูของผม คุณทำอะไรถือว่าผิดหมด คุณโง่ไปหมด) ใครอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเรา เราก็ด่าเสียๆหายๆ จ้องแต่จะด่าในทุกกรณี ไม่สนใจเหตุผลของอีกฝ่าย

ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ ไม่เชื่อลองสังเกตดูนะครับ ตั้งแต่ในวงสภากาแฟของคนทั่วไป ไปจนถึงระดับนักการเมือง เวลาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องอะไรก็ตาม คนส่วนใหญ่จะเลือกข้างยืนที่ชัดเจน แล้วก็ไม่ค่อยสนใจที่จะทำความเข้าใจคนอื่นที่เห็นต่างจากตัว ไม่สนใจที่จะรับฟังและมักจะมีท่าทีต่อต้านเหตุผลและหลักฐานที่ตรงกันข้ามกับความคิดตน

ผมคิดว่า นี่คือลักษณะของคนไทยที่เป็นตัวถ่วงกระบวนการพัฒนาสังคมของไทยที่สำคัญที่สุด ถ้าสังคมจะขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและสงบสุข เราจำเป็นที่จะต้องสลัดกรอบความคิดแบบนี้ทิ้งไปให้ได้

นี่คือบทเรียนสำคัญที่ผมได้รับจากคนขับแท็กซี่ตัวเล็กๆคนหนึ่ง