Tuesday, July 18, 2006

My World Cup Memory (1)

เช้ามืดวันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม 2549 เวลาประมาณตีสาม

ทันทีที่ผู้ตัดสินชาวอาร์เจนติน่าเป่านกหวีดหมดเวลา 90 นาทีที่สนามโอลิมปิก สเตเดียม กรุงเบอร์ลิน ภายในหัวสมองของผมมีภาพความทรงจำของฟุตบอลโลกครั้งก่อนๆปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน พร้อมๆกับความคิดในแง่ร้ายว่า หรือฟุตบอลโลกครั้งนี้อาจจะเป็นอีกครั้งที่ผมจะต้อง “อกหัก” กับทีมอัซซูรี่...

[1]
ฟุตบอลโลกของผมเริ่มต้นขึ้นเมื่อสิบสองปีที่แล้ว ตอนนั้นผมเรียนอยู่ชั้น ป.4 ซึ่งเป็นช่วงที่ผมเพิ่งเริ่มเล่นฟุตบอลอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ ปีนั้นเป็นปีที่มีการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกขึ้นที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งครูประจำชั้นของผม (ชื่อครูบุปผา) ก็ได้ตอบรับกระแสเวิล์ดคัพฟีเวอร์ด้วยการจัดให้มีการทายผลฟุตบอลโลกขึ้นภายในห้องเรียนของเรา โดยผมและเพื่อนๆแต่ละคนต้องเลือกทายทีมชาติหนึ่งทีมที่เราคิดว่าจะเป็นแชมป์โลก ถ้าทายถูกก็มีโอกาสได้รางวัลที่คุณครูเตรียมไว้ให้ ถ้าผมจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะมีรางวัลอยู่ห้าชิ้นด้วยกัน

ตอนนั้น ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเลือกทายและเลือกเชียร์ทีมไหนดี จำได้ว่าเพื่อนๆเกินครึ่งห้องจะเลือกทีมแซมบ้า บราซิลกัน บางคนก็เลือกอาร์เจนติน่า บางคนก็เยอรมัน ผมเองไม่แน่ใจว่าจะเลือกทีมไหนดี เลยไปซื้อหนังสือคู่มือบอลโลกว่าพลิกอ่านดู ก็ทำให้รู้จักทีมต่างๆได้ดีขึ้น สุดท้ายแล้ว ผมก็เลือกเชียร์ทีมชาติอิตาลี ซึ่งในห้องเรียนผมนั้นมีไม่ถึงห้าคนด้วยซ้ำที่เลือกเชียร์ทีมนี้

ทำไมตอนนั้นผมถึงเลือกเชียร์อิตาลี? ผมตอบตามตรง... ผมจำไม่ได้จริงๆ

อาจจะเป็นเพราะสะดุดตากับชุดแข่งสีน้ำเงินสวย อาจเป็นเพราะลีลาการเล่นของไอ้หนุ่มผมเปียคนนั้นผู้มีนามว่า “โรแบร์โต้ บักโจ้” อาจเป็นเพราะผมได้ยินชื่อนักเตะอิตาเลียนแล้วรู้สึกว่ามันเท่และแปลกดี อาจเป็นเพราะผมอยากแตกต่างจากเพื่อนคนอื่นๆที่เลือกทีมอย่างบราซิล อาจเป็นเพราะอิตาลีเป็นหนึ่งในน้อยทีมที่เคยได้แชมป์บอลโลกมาถึงสามสมัย หรืออาจเป็นเพราะทุกๆเหตุผลที่พูดมานี้รวมๆกันก็เป็นได้

เอาเถอะครับ... สุดท้ายแล้วผมก็เลือกเชียร์ทีมอัซซูรี่ (แปลว่า สีน้ำเงิน) และเฝ้าติดตามชมการเล่นของทีมๆนี้ตลอดทุกนัด เอาแค่รอบแรก ผมก็ต้องลุ้นแทบตายกว่าอิตาลีจะผ่านเข้าไปสู่รอบสองได้แบบทุลักทุเล เพราะอิตาลีโชว์ฟอร์มได้ไม่ดีเลย จบรอบแรกนั้นทั้งสี่ทีมในกลุ่มของอิตาลีมีคะแนนเท่ากันทุกทีมคือสี่คะแนน แต่ดูจากประตูได้เสียจะพบว่าอิตาลีอยู่ที่สาม แต่อิตาลีก็ยังได้เข้ารอบในฐานะอันดับสามที่มีคะแนนดีที่สุด (ตอนนั้นฟุตบอลโลกมี 24 ทีมเข้าร่วมแข่งขัน ทำให้ทีมอันดับสามของสองกลุ่มที่มีคะแนนดีที่สุดจะได้ผ่านรอบแรก)

หลังจากผ่านรอบแรกมาได้อย่างกระท่อนกระแท่น อิตาลีภายใต้โค้ชอาริโก้ ซาคคี่ ก็ต้องโคจรมาพบกับ “อินทรีมรกต” ไนจีเรีย ซึ่งโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในรอบแรก ปรากฏว่าอิตาลีอาศัยความเขี้ยวชนะไปด้วยสกอร์ 2-1 โดยยิงประตูชัยได้ในช่วงท้ายเกม (หรือช่วงต่อเวลาพิเศษ ผมไม่แน่ใจ) รอบแปดทีมอิตาลีเจอกับทีมชาติสเปน ปรากฏว่าอิตาลีเฉือนชนะไปได้อีก 2-1 จากประตูชัยของบักโจ้ในช่วงก่อนจะหมดเวลาไม่กี่อึดใจ

ลูกยิงลูกนั้นของบักโจ้ทำให้ผมยิ่งชื่นชอบทีมอัซซูรี่มากขึ้นไปอีก เวลาเตะบอลกับเพื่อนผมก็จะชอบเลียนแบบลีลาการเล่นแบบเขา จนเพื่อนๆพากันเรียกผมว่าบักโจ้ ทำเอาผมปลื้มเอามากๆ

รอบรองฯ อิตาลีเข้าไปพบกับม้ามืดตัวจริงของทัวร์นาเมนต์ นั่นคือ ทีมชาติบัลแกเรีย ซึ่งผ่านแชมป์เก่าเยอรมันมาได้ในรอบแปดทีม บัลแกเรียมีซูเปอร์สตาร์ระดับโลกคือ ฮริสโต้ สตอยคอฟ ซึ่งผมเห็นว่าเขาเป็นสุดยอดอัจฉริยะโลกลูกหนังคนหนึ่งในยุค 1990s ในการเจอกันวันนั้น โรแบร์โต้ บักโจ้ทำสองประตูช่วยให้อิตาลีเอาชนะไปได้ 2-1 ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ ทั้งๆที่เกือบจะตกรอบแรกอยู่รอมร่อ

นัดชิงชนะเลิศ ผมเข้านอนแต่หัวค่ำและตื่นขึ้นมาดูเกมกลางดึก เพราะวันรุ่งขึ้นจะต้องไปโรงเรียน เกมนัดนั้นอิตาลีสู้บราซิลไม่ได้จริงๆ อิตาลีได้แต่ตั้งรับเกือบทั้งเกม มีจังหวะสวนกลับอยู่บ้างแต่ก็น้อยมาก แต่เกมรับของอิตาลีก็ยังเหนียวแน่นสมราคา สามารถยันเกมรุกของบราซิลที่มีทั้งโรมาริโอและเบเบโต้ไว้ได้จนครบ 120 นาที ต้องตัดสินกันด้วยการยิงจุดโทษ

ผลปรากฏว่าอิตาลียิงจุดโทษสู้ทีมแซมบ้าไม่ได้ แพ้ไปในที่สุดหลังจากที่โรแบร์โต้ บักโจ้ ยิงจุดโทษลูกสุดท้ายข้ามคานไปแบบเหลือเชื่อ... ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ น้ำตาไหลซึมออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ผม “อิน” มากๆกับช่วงเวลาแห่งความซึมเศร้าของนักเตะอิตาเลียน โดยเฉพาะกับโรแบร์โต้ บักโจ้ ผู้ซึ่งยืนเท้าเอวอย่างหมดอาลัยและร้องไห้ออกมาหลังพลาดจุดโทษ

อิตาลีแพ้จุดโทษอีกครั้ง หลังจากที่สี่ปีที่แล้วที่อิตาลีเป็นเจ้าภาพ พวกเขาก็แพ้จุดโทษอาร์เจนติน่าในรอบรองชนะเลิศ

ผมร้องไห้ แต่ผมก็ไม่โทษนักเตะอิตาเลียน ผมประทับใจกับการเล่นของบักโจ้และนักเตะอิตาเลียนทุกคนในทัวร์นาเมนต์นั้น ไม่ว่าจะเป็นบาเรซี่, โดนาโดนี่, มัสซาโร่, ดิโน่ บักโจ้, ปายูก้า, อัลแบร์ตินี่, นิโกล่า แบร์ตี้ และคนอื่นๆ

ผมรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งที่พวกเขาทำให้ผมมีช่วงเวลาที่ตื่นเต้น มีช่วงเวลาที่ผมได้ลุ้นระทึกจนใจผมเต้นตุบตุบๆ มีช่วงเวลาแห่งความสุขจากการได้ชัยชนะ มีช่วงเวลาที่ผมได้ “เฮ” ดังๆชนิดที่ทำให้คนอื่นๆในบ้านสะดุ้งตื่นขึ้นมาได้...

ผมขอบคุณทีมชาติอิตาลีและขอบคุณฟุตบอลโลกที่ได้มอบความรู้สึกเหล่านี้ให้กับผม... เป็นความรู้สึกที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน... ถึงแม้ตอนจบจะเต็มไปด้วยความเศร้าจากความพ่ายแพ้ แต่ผมก็บอกกับตัวเองว่า จะตามเชียร์ทีมอิตาลีต่อไป และจะรอวันที่อิตาลีได้ลิ้มรสชัยชนะในที่สุด

[2]
สี่ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก ฟุตบอลโลกปี 1998 จัดขึ้นที่ฝรั่งเศส ปีนี้เป็นปีแรกที่มีทีมเข้าร่วมรอบสุดท้ายมากถึง 32 ทีม ตามนโยบายของโจฮัว ฮาเวาลานจ์ ประธานฟีฟ่าซึ่งต้องการให้ประเทศต่างๆในโลกได้เข้าถึงกีฬาฟุตบอลอย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น ซึ่งจุดนี้ผมเห็นว่าเป็นก้าวสำคัญของฟีฟ่าที่ได้ทำให้เกมฟุตบอลกลายเป็นเกมกีฬาของมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง

ฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นฟุตบอลโลกที่ไม่ประทับใจผมเท่ากับบอลโลกครั้งก่อน อิตาลีทีมรักของผมอยู่ภายใต้การทำทีมของเซซาเร่ มัลดินี่ บิดาของแบ๊กซ้ายระดับตำนานอย่าง เปาโล มัลดินี่ อิตาลีผ่านรอบแรกมาได้ด้วยการเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่ม รอบสองเจอกับนอร์เวย์ ปรากฏว่าเอาชนะไปได้ 1-0 จากลูกยิงของคริสเตียน วิเอรี่ ศูนย์หน้าร่างใหญ่ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงทอปฟอร์ม

รอบแปดทีมสุดท้าย อิตาลีเจอศึกหนักกับเจ้าภาพฝรั่งเศส เกมดำเนินไปอย่างค่อนข้างน่าเบื่อ ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายเปิดเกมบุกได้มากกว่าแต่ก็เจาะแผงหลังอิตาลีไม่ได้ ครบ 120 นาทีต้องดวลจุดโทษตัดสิน

นี่เป็นการดวลจุดโทษตัดสินในฟุตบอลโลกสามครั้งติดต่อกันของอิตาลี สองครั้งที่ผ่านมาอิตาลีแพ้มาทั้งสองครั้ง มาครั้งนี้ผมหวังว่าพวกเขาจะชนะบ้าง แต่แล้วก็เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกกับอิตาลีอีกครั้ง เมื่อพวกเขาพลาดท่าเป็นครั้งที่สามติดต่อกัน ต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านไปในที่สุด...

ฟุตบอลโลกปี 94 และ 98 ซึ่งเป็นฟุตบอลโลกสองสมัยแรกของผม จบลงด้วยความผิดหวัง อิตาลีไม่ได้แพ้ในเกมปกติ แต่แพ้จากการดวลจุดโทษตัดสินทั้งสองครั้ง แต่ผมก็ยังบอกกับตัวเองว่าจะยังตามเชียร์ทีมๆนี้ต่อไปในฟุตบอลโลกครั้งหน้าซึ่งจะจัดขึ้นในทวีปเอเชียเป็นครั้งแรก

[3]
ฟุตบอลโลกปี 2002 เป็นครั้งแรกที่จัดในเอเชียและเป็นครั้งแรกที่มีเจ้าภาพร่วมกันสองประเทศคือ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้

อิตาลีปีนี้อยู่ภายใต้การนำของโจวานนี่ ตราปัตโตนี่ โค้ชจอมเก๋าผู้เคยประสบความสำเร็จในระดับสโมสรมามากมาย ก่อนฟุตบอลโลกเริ่มขึ้น ผมไม่มั่นใจเลยว่าอิตาลีจะไปได้ไกลในบอลโลกครั้งนี้ เพราะโดยส่วนตัวแล้วไม่ชอบการทำทีมของตราปัตโตนี่ที่เน้นเกมรับมากจนเกินควร ทั้งๆที่อิตาลีชุดนี้มีนักเตะเทคนิคสูงหลายคนอยู่ในทีม เช่น วิเอรี่, ต๊อตติ และเดล ปิเอโร่

อิตาลีประเดิมสนามนัดแรกอย่างสวยงามด้วยการเอาชนะเอกวาดอร์ไปได้แบบสบายๆ 2-0 ซึ่งทั้งสองลูกเกิดขึ้นในครึ่งแรก อย่างไรก็ตาม ฟอร์มการเล่นในครึ่งหลังของอิตาลีทำให้ผมรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก เพราะเล่นเหมือนไปเรื่อยๆ ไม่ตั้งใจเล่น ไม่ค่อยจะเปิดเกมรุก หรือเวลาเปิดเกมรุกก็มักจะทำได้ไม่ดี จังหวะขาดๆเกินๆอยู่ตลอด

พอมานัดที่สอง อิตาลีต้องพบกับโครเอเชีย ซึ่งนัดนั้นอิตาลีเล่นกันได้แย่มาก และแพ้ไปในที่สุด 1-2 โดยเสียประตูที่สองจากความผิดพลาดของมาร์โก มาเตรัซซี่ ผู้ได้รับการขนามนามว่าเป็น “บ่อน้ำมัน” ในแผงหลังของทีม จากความพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำให้อิตาลีต้องพยายามเก็บชัยชนะให้ได้ในนัดสุดท้ายที่จะพบกับเม็กซิโก ไม่อย่างนั้นก็มีโอกาสสูงที่จะต้องเก็บของกลับบ้านเร็วกว่ากำหนด

นัดสุดท้ายกับเม็กซิโก อิตาลียังเล่นได้ไม่ประทับใจเช่นเดิม โดยโดนเม็กซิโกยิงนำไปก่อนในครึ่งแรก ตอนนั้นอิตาลีต้องการประตูอีกอย่างน้อยหนึ่งลูกเพื่อตีเสมอให้ได้ แล้วไปลุ้นผลอีกคู่ให้โครเอเชียแพ้เอกวาดอร์ ซึ่งปรากฏว่าเดล ปิเอโร่ยิงประตูตีเสมอให้อิตาลีได้สำเร็จในช่วงห้านาทีสุดท้ายก่อนหมดเวลา ส่วนอีกคู่โครเอเชียดันพลาดท่าพ่ายต่อเอกวาดอร์ไป 0-1 ทำให้อิตาลีได้ผ่านเข้ารอบสองไปอย่างทุลักทุเลและไม่น่าประทับใจที่สุด

ในรอบสอง อิตาลีต้องพบกับเจ้าภาพร่วมคือเกาหลีใต้ ซึ่งก่อนเกมผมมองว่าอิตาลีโชคดีมากที่เจอเกาหลีใต้ เพราะเทคนิคและความสามารถเฉพาะตัวของอิตาลีเหนือกว่านักเตะเกาหลีใต้มาก อิตาลีน่าจะผ่านไปได้ ซึ่งอิตาลีก็เกือบจะทำได้สำเร็จ เพราะได้ประตูออกนำไปก่อนจากวิเอรี่ตั้งแต่นาทีที่ 18 แต่หลังจากนั้น อิตาลีมีโอกาสปิดบัญชีตอกฝาโลงเกาหลีใต้แต่ก็ทำไม่ได้ จนเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงนาทีที่ 88 หัวจิตหัวใจของผมก็แทบจะหล่นตุ๊บลงไปอยู่ที่เท้า...

โซล คี เฮียน เติมขึ้นมายิงผ่านมือบุฟฟ่อนเข้าไปชนิดที่ผมและนักเตะอิตาลีทุกคนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ตอนนั้นบรรยากาศภายในสนามมันเหมือนนรกของนักเตะอิตาลีดีๆนี่เอง เพราะแฟนบอลเกาหลีใต้ที่อยู่ในชุดแดงกำลังส่งเสียงโห่ร้องเชียร์ทีมชาติตัวเองอย่างเต็มที่ จะเรียกได้ว่าอย่างบ้าคลั่งก็ได้... ในตอนนั้น กำลังใจของนักเตะอิตาลีต่างก็ตกลงไปมากๆ บางคนดูเหมือนจะเล่นอย่างถอดใจ ไม่มีสมาธิกับเกมเอาเสียเลยในช่วงต่อเวลาพิเศษ

ต่อมาไม่นาน อิตาลีก็ต้องเหลือผู้เล่นเพียงแค่สิบคน เมื่อหัวใจในเกมรุกของทีมอย่างฟรานเชสโก้ ต๊อตติ มาโดนไล่ออกจากสนามอย่างน่าคลืบแคลงใจ ทำให้กำลังใจของนักเตะแดนโสมยิ่งเพิ่มสูงขึ้น พวกเขาวิ่งสู้ฟัดกัดไม่ปล่อยทุกจังหวะ จนอิตาลีเสียศูนย์ แต่อิตาลีเองก็มีโอกาสทำประตูสองสามครั้ง แต่ก็พลาดไปหมด จนมาถึงช่วงเวลานาทีที่ 117 ซึ่งเหลืออีกเพียงสามนาทีเท่านั้นทั้งสองทีมก็จะต้องดวลจุดโทษตัดสินกัน...

เกาหลีใต้ตัดบนได้และทำเกมขึ้นมาทางด้านซ้าย... และโยนด้วยเท้าขวาโค้งเข้ามาในกรอบเขตโทษ... ผมยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ดี... ผมคิดว่าทิศทางของลูกบอลที่พุ่งไปในกรอบเขตโทษช่างดูอันตรายเหลือเกิน ผมกลัวมากว่ามันจะพุ่งไปเข้าหัวนักเตะเกาหลี ตอนนั้นผมเห็น อาห์น จุง วาน กำลังจะเทคตัวแย่งโหม่งกับเปาโล มัลดินี่ กัปตันทีมอิตาลี...

อาห์น จุง วาน เทคตัวได้เหนือกว่ามัลดินี่ และลูกโหม่งของเขาก็พุ่งลงพื้นเข้าเสียบเสาสองของประตูชนิดที่บุฟฟ่อนได้แต่เหลียวหน้ามอง...

นักเตะเกาหลีใต้วิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปที่มุมธง ไม่รู้เอาแรงจากไหนมาวิ่งกัน พวกเขากอดกันกลม และนอนทับอาห์น จุง วาน ฮีโร่ผู้ทำประตูโกลเด้นโกลให้กับทีม ส่วนนักเตะอิตาลีนั้นอยู่ในอารมณ์ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง พวกเขาดูหมดเรี่ยวหมดแรงและซึมเศร้า บางคนนอนแผ่หลาอยู่ในสนาม บางคนนั่งเซ็งหมดอาลัยตายอยาก หลายคนร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย ผมเองก็อยู่ในอารมณ์เดียวกัน...

ฟุตบอลโลกครั้งที่สามของผม จบลงด้วยน้ำตาอีกครั้ง ผมคิดในใจว่า ผมเชียร์ทีมๆนี้มาแปดปีเต็ม ทำไมถึงต้องอกหักซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกนานไหม... ถึงทีมจะแพ้ผมก็ไม่ว่า ถ้าพวกเขาเล่นได้อย่างประทับใจ แต่นี่ฟอร์มการเล่นก็ไม่ดีไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย... ผมแอบคิดว่า หรือเราจะเปลี่ยนทีมเชียร์ดีไหมนะ...

(โปรดติดตามตอนจบ เร็วๆนี้)